วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เผชิญสลัดที่ Port Klang (27/09/2008)


ความตอนที่แล้ว... เราถอนสมอออกมาจากหน้าอ่าวมาเลเซียก่อนเจ็ดโมงเช้า แล้วแล่นมาติดสันดอนก่อนออกสู่แฟร์เวย์ในช่องแคบมะละกา  ต่อจากนั้นมาเจอพายุในช่องแคบมะละกาอีกสองรอบเช้า-เย็น ตอนย่ำรุ่งเกือบชนเอาเรือสินค้าในแฟร์เวย์เข้าอีก แต่ยอช์ทจอมทรหดยังแล่นฝ่าความมืดต่อไปยัง Admiral Marina ,Port Dickson’s ตามจุดหมาย
ผมตื่นขึ้น เมื่อรู้สึกว่าความสว่างของวันใหม่มาเยือน หลังจากหลับไปเมื่อประมาณตี 4 งัวเงีย งึกงักลุกขึ้นจากการได้นอนน้อยและเหน็ดเหนื่อยอ่อนเพลียจากการผจญเหตุการณ์หนักๆมาหลายรอบ
ลุกขึ้นนั่ง มองนาฬิกาที่ข้อมือ ตีห้ากว่า สัมผัสกับสภาพอากาศปลอดโปร่งแจ่มใส ลมพัดอ่อนๆ ทะเลราบเรียบ เส้นแสงสีเหลืองทองจากดวงอาทิตย์ ส่องพาดผ่านทะลุก้อนเมฆรูปร่างต่างๆออกมาฉาบทาท้องฟ้าและท้องทะเล สวยงามจับใจ แตกต่างจากความหฤโหดของเมื่อวันวานอย่างสิ้นเชิง ประดุจอากัปกิริยาภายหลังอาการโกรธกริ้วของสาวงามฉันท์ใด ฉันท์นั้น หรือ จากคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆว่า “ฟ้าหลังฝน” นั้นแล.
ที่พังงาเรือ บังใจนั่งถือท้ายอยู่เงียบๆ ตรงที่นั่งยาวกราบซ้ายเยื้องมาทางด้านหลังของบังใจ กัปตันไก่ยังนอนเกเขนก ส่วนคู่หูบังหมานกับยุทธ ยังนอนคลุมโปงอยู่ทั้งคู่ แต่ไม่มีคุณบันเทิง คงจะนอนในห้องด้านล่าง
หลังจากบิดขี้เกียจเจ็ดรอบ ผมเก็บพับผ้าห่ม แล้วลงไปในระวาง เสียบกระติกน้ำร้อนที่หน้าห้องครัว ก่อนเข้าห้องน้ำทำธุระส่วนตัว เตรียมพร้อมสำหรับการรับเวรถือท้ายในเวลาหกโมงเช้าต่อจากบังใจ
ขึ้นมาบนดาดฟ้าอีกครั้ง พร้อมกับกาแฟสองถ้วย ถ้วยหนึ่งของตัวเอง อีกถ้วยสำหรับบังใจ ขณะนั้นทุกคนลุกขึ้นกันหมดแล้ว ผมส่งถ้วยกาแฟให้บังใจ ก่อนจะเข้าไปถือท้ายแทน
กัปตันไก่ลุกขึ้น เข้ามาดูเข็มทิศเดินเรือและหน้าจอ จีพีเอส.อยู่ชั่วครู่ ก่อนหันหน้ามองไปทางหัวเรือแล้วบอกกับผมว่า “พี่สาม ตีหัวไปขวาสิบองศาแล้วถือท้ายตรงไปที่ตึกขาวๆนั่นนะ”

ตึกขาวๆที่กัปตันไก่ว่า เป็นกลุ่มตึกสูงๆหลายหลัง จากระยะห่างระหว่างตำเหน่งที่เรือเรากำลังแล่นอยู่กับกลุ่มตึกที่เห็นนั้น ไม่ต่ำจาก 10 ไมล์ แต่ยังมองเห็นความสูงได้ชัดเจน
“นั่น! ที่ไหนละกัปตัน?” ผมถามกัปตันไก่ เบาๆ
Port Dickson’s และเราจะแวะเติมน้ำมันที่ Admiral Marina ใกล้ๆกันนั่นแหละ” ตอบกลับมาเบาๆ
แต่พูดต่อดังๆว่า “อย่าพาเข้าไปเกยตื้นอีกล่ะ” แล้วเดินหายลงไปในระวาง ก่อนที่ผมจะพูดอะไร.
“คราวนี้ พาขึ้นบกเลยพี่สาม เอิ๊ก เอิ๊ก เอิ๊ก..” เสียงบังหมาน แซวมาพร้อมกับหัวเราะชอบใจ
ชั่วโมงต่อมา เมื่อผมพาเรือใกล้เข้าไปยังปากร่องน้ำทางเข้าท่าเรือ Port Dickson’s อันเป็นท่าเรือขนถ่ายสินค้าที่สำคัญของประเทศมาเลเซีย และยังเป็นเมืองตากอากาศชายทะเลที่มีชื่อเสียงระดับโลก
กัปตันไก่เข้ามาทำหน้าที่ถือท้ายแทนผม พาเรือเข้าไปยังท่าเรือยอช์ท Admiral Marina ซึ่งอยู่ทางด้านขวามือของปากร่องน้ำ มีลักษณะเป็นการสร้างกำแพงกั้นคลื่นออกมาในทะเลประมาณ 500 เมตร ทางเข้ามารีน่าจึงกลายเป็นลำคลองและภายในท่าจอดเรือได้กลายเป็นทะเลสาบเล็กๆไปโดยปริยาย

Admiral Marina เป็นท่าเทียบเรือยอช์ทไม่ใหญ่มากนัก อยู่ปากร่องน้ำทางเข้าท่าเรือน้ำลึก Port Dickson’s ในเขตรัฐ Negeri Sembilan ของมาเลเซีย มีรีสอร์ทราคาแพงและโรงแรมระดับห้าดาวติดชายหาดมากมาย

กัปตันไก่ พาเรือเข้าซองเทียบท่า เมื่อประมาณ 7 โมงเศษ ขณะนั้นมารีน่ายังไม่เปิดทำการ จึงยังไม่มีเจ้าหน้าที่มาทำงาน มีเพียง รปภ.วัยกลางคนเดินมาที่เรือ ถามว่าเราจะทำอะไร? กัปตันไก่บอกไปว่าจะเติมน้ำมัน รปภ.คนนั้นบอกให้รอก่อน เจ้าหน้าที่ของมารีน่าจะมาตอน 8 โมงเช้า

ช่วงเวลาที่รอเติมน้ำมัน ผมกับบังใจ บังหมาน แอ๊คชั่นถ่ายรูปกันคนละหลายๆรูป และชวนกันเดินขึ้นไปบริเวณที่ทำการของมารีน่า และแถวหน้ารีสอร์ทหรู เก็บภาพไว้เป็นที่ระลึกหลายภาพ
เมื่อผมกับบังใจ กลับมาถึงเรือ การเติมน้ำมันเสร็จเรียบร้อยพอดี กัปตันไก่บอกให้เตรียมออกเรือ



เกือบ  9 โมง กัปตันไก่พาเรือออกจาก Admiral Marina ขณะที่เรือแล่นเอื่อยๆออกสู่ทะเล ยุทธ ส่งหม้อข้าวต้มควันฉุยขึ้นมาจากห้องครัว   เช้าวันนี้พวกเรากินข้าวต้มกันด้วยความสบายใจ ไม่ต้องคอยระวังช้อนจะทิ่มหน้า

กัปตันไก่พาเรือห่างออกมาจากฝั่งประมาณ 15 ไมล์ จึงได้พล๊อตเข็มอีกครั้ง และให้ผมถือท้ายต่อไป เพราะผมยังถือท้ายไม่ครบ 2 ชั่วโมง เออ..ขาดนิดหน่อยก็ไม่ได้ แมร่ง..เขี้ยว ฉิบหา..!.....

กัปตันไก่พล๊อตเข็มมุ่งหน้าไปยังท่าเรือพอร์ทคลัง (Port Klang) เป็นจุดหมายต่อไป โดยวางแนวห่างจากชายฝั่งไม่มากนัก พอจะมองเห็นคึกรามบ้านช่องบนฝั่งได้ชัดเจน และทางด้านกราบซ้ายของเรือ ในแฟร์เวย์ของช่องแคบมะละกา ยังเห็นเรือยักษ์แล่นตามกันไม่ขาดระยะ

พล๊อตเข็มวันนี้ เราแล่นผ่านเมืองท่าเล็กๆหลายแห่ง มองเห็นเรือสินค้าแล่นเข้าออก สวนกับเราตลอดเวลา ผ่านโรงงานรีย์ไซเคิลเหล็ก ซึ่งเป็นแพลอยน้ำขนาดใหญ่ ลอยอยู่ในทะเลนอกชายฝั่ง บางช่วงเป็นป่าชายเลนที่ยังอุดมสมบูรณ์สุดลูกหูลูกตา
ในสภาพอากาศปรอดโปร่ง แจ่มใส  พวกเราต่างพักผ่อนกันตามสบายๆ จนรู้สึกเบื่อๆ เซ็งๆเหมือนกัน เมื่อไม่มีความตื่นเต้น ระทึกใจ อย่างวันก่อนๆที่ผ่านมา แบบกินเหล้าไม่มีกับแกล้ม ฮ้า..
แต่ความรู้สึกกินเหล้าไม่มีกับแกล้มของผมต้องสะดุดกึก เมื่อได้ยินเสียง หวีดดดดดดดด...แหลมยาว เสียดหัวใจดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน พร้อมๆกับเสียงเครื่องยนต์สำลัก พรืด พรืด..
ได้ยินเสียงคุณบันเทิงที่กำลังถือท้ายร้อง เฮ้ย เฮ้ย...ขึ้นมาดังๆ
ผมบอกตัวเองว่า ความตื่นเต้นเร้าใจมาอีกแล้วชำมะนาญเอ๋ย...ฮา ฮา ฮา....
ทุกคนมีอากัปกิริยาตอบสนองต่อเสียงที่เกิดขึ้นอย่างฉับไว และโดยอัตโนมัติ
“ปลดเกียร์ หยุดใบจักร” กัปตันไก่ บอกคุณบันเทิงด้วยน้ำเสียงปกติ
คุณบันเทิง ลดคันเร่ง ปลดเกียร์เป็นตำแหน่งว่าง เงอะๆ  งะๆ ด้วยความประหม่า ตื่นเต้น
เรือชะลอความเร็วลงทันที แต่เสียงหวีด ยังไม่หยุดดัง
“ดับเครื่องเลย บันเทิง” กัปตันไก่ บอกคุณบันเทิง
คุณบันเทิง ปฏิบัติตามนั้น...เสียงเครื่องยนต์เงียบ เสียงหวีดก็หยุดดังทันที.
กัปตันไก่ หันไปหาบังหมาน ที่ยืนยิ้ม ทำเป็นทองไม่รู้ร้อน “หมาน งานเข้า จัดการ!
บังหมาน หันหน้าลงท้องเรือ แบบว่ากำลังจะไปเข้าส้วมตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“บันเทิง ลงไปช่วยมันด้วย” กัปตันไก่บอกคุณบันเทิง
คุณบันเทิง เดินลงท้องเรือไปอย่างว่าง่ายเหมือนกัน สวดยอด ลูกเรือจริงๆ..
กัปตันไก่ปล่อยให้เรือลอยเท้งเต้ง ไปตามคลื่นลม โดยไม่ได้สั่งให้ทิ้งสมอแต่อย่างใด
บังหมานกับคุณบันเทิง ก๊อกๆ แก๊กๆ ช่วยกันรื้อโน่น ถอดนี่ ขึ้นมาวาง ระเกะ ระกะ เต็มไปหมด แบบไม่กลัวว่าจะใส่กลับไปไม่หมด อิอิ..

ก้มๆ เงยๆ คุยกันไป หัวเราะกันไป อย่างไม่อนาทรร้อนใจ เหมือนนั่งคุยกันอยู่ที่บ้าน..


ประมาณชั่วโมงเศษๆ หลังจากนั้น เมื่ออะหลั่ยทุกชิ้นกลับเข้าไปอยู่ที่เดิม เสียงเครื่องยนต์ก็ครางกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง แล้วเรือก็แล่นเดินหน้าต่อไปตามปกติ เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
ผมยอมรับ นับถือ ความรู้ ความสามารถของบังหมาน อย่างไม่มีอะไรเคลือบแคลง
กระทั่ง 5 โมงเย็น เราก็มาถึงปากร่องน้ำเข้าสู่เมืองท่า Port Klang อันเป็นจุดหมายสำหรับพักเรือและพักคนของคืนนี้

ร่องน้ำเข้าสู่ Port Klang เป็นปากแม่น้ำกว้างใหญ่พอๆกับปากแม่น้ำเจ้าพระยาของไทยเรา
ลักษณะร่องน้ำนี้ จะเรียกว่าแม่น้ำก็ไม่ถนัด เพราะมันเป็นทะเลเชื่อมไปทะลุออกทะเลอีกด้านทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ โดยมีเกาะอยู่ทางซ้ายมือ คล้ายกับเกาะปีนัง ส่วนทางด้านขวาของเรือเราเป็นแผ่นดินใหญ่ มีท่าเทียบเรือขนถ่ายสินค้าขนาดใหญ่, ท่าเรือสำราญ มองเห็นเรือสำราญยังกะตึกลอยน้ำ และมารีน่าสำหรับเรือยอช์ท ตลอดแนวชายฝั่งที่เราแล่นผ่าน

จากปากร่องน้ำ ตั้งแต่เวลา 5 โมงเย็น เราแล่นลึกเข้าไปเรื่อยๆ ผ่านปากแม่น้ำสายเล็กๆหลายสาย ซึ่งแยกเข้าสู่แผ่นดินใหญ่ในเขตรัฐกัวลาลัมเปอร์ เมืองหลวงของมาเลเซีย
เราแล่นไปเรื่อยๆ กระทั่งมืด มองเห็นแสงไฟสว่างไสวจากท่าเทียบเรือทางฝั่งขวามือ กัปตันไก่ยังตัดสินใจหาที่ทิ้งสมอไม่ได้ และไม่มีความคิดจะเข้าไปจอดเทียบท่า เพราะมันหมายถึงต้องมีค่าใช้จ่ายจำนวนไม่น้อย

ประมาณ 2 ทุ่ม เรือแล่นเข้าสู่คุ้งน้ำใหญ่ ห่างมาจากท่าเทียบเรือสินค้าพอร์ตคลังพอสมควร กระทั่งเมื่อมองย้อนหลังกลับไปเห็นแสงไฟจากท่าเทียบเรือเพียงริบหรี่ ภูมิทัศน์ทั้งสองฝั่งเต็มไปด้วยป่าชายเลน เป็นบริเวณค่อนข้างเปลี่ยว เพราะไม่มีเรืออื่นๆแม้แต่ลำเดียว เห็นเพียงอวนลอยของชาวบ้าน ที่มีสัญญาณไฟแดง แว๊บ แว๊บ เต็มพรืดไปทั้งท้องน้ำ ความมืด การไม่รู้จักพื้นที่และเป็นเวลาที่น้ำกำลังขึ้น  การทิ้งสมอนอนในสภาพแวดล้อมแบบนั้น จึงไม่ใช่เรื่องน่าสนุกนัก แต่จะแล่นต่อไปก็ทำท่าจะไม่ไหวหรือจะย้อนกลับไปที่มีแสงสว่างใกล้ๆท่าเรือ ซึ่งเต็มไปด้วยเรือและเรือมากมาย คับคั่ง ก็ใช่ที่.
กัปตันไก่ ชะลอความเร็ว พาเรือแอบเข้าหาชายฝั่งทางด้านซ้ายมืออย่างช้าๆ กะระยะห่างจากฝั่งพอประมาณ ห่างจากกลางแม่น้ำในเส้นทางสัญจรของเรือและห่างจากไฟแดงแว๊บ แว๊บ ของอวนลอยพอสมควร จึงตัดสินใจสั่งให้ทิ้งสมอ.
หลังจากทิ้งสมอเสร็จ กัปตันไก่บอกให้บังหมานเปิดไฟในเรือสว่างขึ้นทั้งลำ แล้วเดินสำรวจรอบๆลำเรือจนเป็นที่พอใจ จึงได้บอกให้บังหมานดับเครื่องยนต์
การทิ้งสมอในคืนนี้ต้องปล่อยสายโซ่สมอยาวมาก เพราะน้ำกำลังขึ้น ยังประมาณการไม่ได้ว่าระดับน้ำจะสูงแค่ไหนเมื่อน้ำขึ้นเต็มที่ ซึ่งเกี่ยวข้องกับความลึกของน้ำและการยึดติดพื้นของสมอด้วย ถ้าหากว่าเมื่อน้ำขึ้นเต็มที่ ระดับน้ำสูงมากๆ ความลึกก็เพิ่มตามขึ้นมาด้วย ถ้าปล่อยสายโซ่สมอยาวไม่พอ การยึดเกาะพื้นด้านล่างจะไม่เหนียวแน่นพอ ตอนน้ำลงอาจจะทำให้สมอกาวได้ เป็นหลักการทั่วๆไปที่ชาวเรือรู้กันดี
ยุทธกับคุณบันเทิง ช่วยกันลำเลียงสำรับกับข้าวมื้อค่ำขึ้นมา เมื่อเกือบ 3 ทุ่ม คืนนี้พวกเรานั่งล้อมวงกินข้าวกันเงียบๆ มีการพูดคุยกันน้อยมาก เหมือนมีความกังวลอะไรอยู่ลึกๆ ขนาดคู่หูอย่างบังหมานกับยุทธ ปกติจะหยอกล้อ เย้าแหย่ พูดอำกันตลอดเวลา ยังคุยกันเบาๆไม่กี่คำ
การกินข้าวค่ำเสร็จสิ้นในเวลาไม่นาน ต่างคนต่างทำภารกิจของตัวเองเสร็จสิ้น กัปตันไก่บอกให้บังหมานปิดไฟในเรือทุกดวง เหลือไว้เฉพาะไฟเสากระโดงเรือดวงเดียว อันเป็นสัญลักษณ์แสดงว่าเรือจอดอยู่กับที่ แล้วทุกคนก็หาที่นอนกันเงียบๆ
ประมาณไม่เกินครึ่งชั่วโมง เข้าใจว่ายังไม่มีใครหลับ กัปตันไก่ยังนอนสูบบุหรี่แดงวาบๆอยู่บนที่นอนประจำตรงกราบซ้ายหลังพังงาเรือ ขณะที่ผมยังนอนลืมตาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย
ผมได้ยินเสียงเครื่องยนต์จากเรือหางยาว(พีช)เบาๆ แล่นเข้ามาใกล้เรือเราทางด้านกราบซ้ายและเงียบลงเมื่อมีการดับเครื่องยนต์ ผมเห็นกัปตันไก่ลุกขึ้นนั่งพร้อมกับดีดก้นบุหรี่ออกไปนอกลำเรือ
ผมลุกขึ้นมายืนใกล้ๆกัปตันไก่ สัมผัสถึงความผิดปกติ มองออกไปที่ข้างกราบเรือ จากแสงดาวบนท้องฟ้าที่กระทบกับผิวน้ำมีความสว่างพอให้มองเห็นและแยกแยะได้ถึงจำนวนคน 3 คนที่นั่งอยู่ในเรือพีชลำเล็กๆนั้น
อึดใจต่อมา แสงไฟสปอตไลท์เป็นลำเล็กๆ จากเรือลำนั้น ส่องกราดขึ้นมาบนเรือเราแล้วจับนิ่งเข้าที่หน้าของกัปตันไก่ จนต้องก้มลงหลบ
พร้อมๆกับได้ยินเสียงพูดภาษายาวี สำเนียงดุๆ เป็นคำถามมาที่กัปตันไก่ “มากีมานอ?”
แปลได้ว่า “มาจากไหน” ซึ่งผมพอจะเข้าใจความหมาย จากการที่เคยได้ไปอยู่ที่อำเภอระแงะ จังหวัดนราธิวาส เมื่อหลายสิบปีก่อน
ในขณะนั้นพวกเราทุกคนลุกขึ้นมายืนออกันที่กราบซ้ายข้างๆกัปตันไก่
“เกาะสมุย” กัปตันไก่ตอบกลับไป ด้วยเสียงเรียบๆ
“กีมานอ?” ถามถึงจุดหมายปลายทางว่า..”จะไปไหน”..
“ภูเก็ต” กัปตันไก่ตอบสั้นๆ ถึงที่ปลายทาง
“อินโดนีเซีย?” เป็นสำเนียงคำถามแบบตะคอก จากคนเดิม
“เดาะ..ไทย” กัปตันไก่ ตอบกลับไปว่า..ไม่ใช่..เป็นคนไทย..
“วาปอ ออแอ?” แปลว่า ..มากี่คน..
กัปตันไก่ตอบว่า “แน ออแอ”  แปลว่า..หกคน..
ต่อจากนั้น ได้ยินเสียงคุยกันเองเบาๆ จากในเรือลำนั้น ไฟสปอร์ตไลท์ดับลง อึดใจต่อมามีเสียงสตาร์ทเครื่องยนต์ แล้วเรือพีชลำนั้นก็เร่งเครื่องแล่นหายออกไปในความมืดอย่างรวดเร็ว
“โจรสลัดรึ?” เสียงสั่นๆจากคุณบันเทิง ถามกัปตันไก่
“ไม่รู้เหมือนกัน” กัปตันไก่พูดเบาๆ พร้อมกับจุดบุหรี่อัดแรงๆ เห็นไฟแดงวาบ
“ถ้าเป็นสลัด ทำไมมันไม่ขึ้นมา?” บังใจพูดขึ้น ไม่มีเจตนาจะตั้งคำถามกับใคร
“มันเห็นพวกเราหลายคน ไม่หาญ(ไม่กล้า)หรอก” บังหมานว่า พร้อมกับหัวเราะ อิอิ ตามสไตล์
“อ๊ะ..ถ้ามันจะปล้นจริงๆไม่พอมือมันหร๊อก” ยุทธขัดขึ้น
“หรือพวกมันเห็นว่าเราเป็นคนไทยมั่ง.. มันเลยไม่ยุ่ง” บังใจแสดงความคิดเห็น
“ชั่งมันเถอะ อาจจะเป็นคนวางอวนลอยแถวนี้ก็ได้ อย่าไปสนใจเลย นอนกันต่อ แต่อย่าหลับเพลินก็แล้วกัน” กัปตันไก่ตัดบท พร้อมกับเตือนอย่างมีความหมาย..
นั่นแหละทุกคนจึงได้เงียบจากการวิพากย์ วิจารณ์และแยกย้ายกันนอน ใครจะคิดยังไง ผมไม่รู้ แต่ส่วนตัวผม เสียววาบไปตามกระดูกสันหลัง..แถวนี้อาจจะไม่มีสลัดอินโดฯ แต่สลัดมาเลย์ฯก็มีชื่อเสียงอยู่ไม่น้อย!!!!???...
... โปรดรอติดตาม ตอนต่อไป ...

ไม่มีความคิดเห็น: