วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554

ซีบาน่ามารีน่า-ช่องแคบสิงคโปร์ (25/09/2008)


จากความตอนที่แล้ว...   หลังจากพักค้างคืนที่ท่าเรือซีบาน่ามารีน่า รัฐยะโฮร์ เช้าของวันที่ 25 ตุลาคม 51 พวกเราเข้าไปในเมือง เพื่อซื้อเสบียงอาหารสำรองและซื้อยารักษาการบวมข้อหัวแม่เท้าของผม เที่ยงวันกลับมานำเรือเข้าเติมน้ำจืดและน้ำมันดีเซลสำรองที่ท่าเรือโดยสาร
บ่ายของวันที่ 25 ก.ย.51 เราอำลาซีบาน่า มารีน่า ออกมาเมื่อเวลาบ่ายโมงตรง กัปตันไก่ บังคับเรือแล่นอย่างช้าๆ ไปตามลำคลองอันคดเคี้ยว มุ่งออกสู่ช่องแคบสิงคโปร์
สองฝั่งคลองเต็มไปด้วยต้นโกงกางหนาแน่น เป็นป่าชายเลนที่ยังอุดมสมบูรณ์ ไม่เหมือนป่าชายเลนบ้านเรา ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยบ่อเลี้ยงกุ้ง บางแห่งก็เต็มพรืดไปด้วยร้านอาหารซีฟู๊ด รวมหัวกันบุกรุกทำลายกระทั่งลิงยังไม่มีที่จะอยู่ 
ทั้งสองฟาก มีคลองซอยเล็กๆ แยกออกไปมากมาย ทั้งซ้ายมือและขวามือ เรือประมงลำเล็กๆสำหรับจับปลาชายฝั่งของชาวบ้านแล่นสวนเข้าคลองไปหลายลำ
เท่าที่ผมสังเกต ตั้งแต่เราเข้าเขตน่านน้ำมาเลเซียเป็นต้นมา ยังไม่เห็นเรือประมงลำใหญ่ๆแบบของไทยเราแม้แต่ลำเดียว
จากลำคลองกลายเป็นแม่น้ำ และกลายเป็นปากอ่าว เริ่มมองเห็นเหล่าเรือยักษ์ในช่องแคบสิงคโปร์ชัดเจนขึ้น เรือยักษ์ที่มองดูคล้ายเกาะลอยน้ำ จำนวนนับไม่ถ้วนเหล่านั้น ส่วนใหญ่จอดนิ่งอยู่กับที่ กัปตันไก่บอกว่า เรือพวกนั้นทิ้งสมอรอเข้าเทียบท่า(Port) เพื่อขนถ่ายสินค้า สังเกตง่ายๆ ถ้าลำที่ดาดฟ้าสูงขึ้นเหนือผิวน้ำมากๆเท่ากับตึกสิบชั้นละก็ แสดงว่าในระวางของเรือไม่มีสินค้า เป็นเรือเปล่าทิ้งสมอรอเวลาเข้าไปรับสินค้าที่ท่าเรือ แต่ถ้าลำไหนดาดฟ้าต่ำเรี่ยๆผิวน้ำ แสดงว่ามีสินค้าอยู่เต็มระวาง รอเข้าไปเทียบท่าเพื่อขนถ่ายสินค้าขึ้นที่ท่าเรือหรือรอคำสั่งออกเดินทาง
ขณะเรือเรา กำลังแล่นมุ่งออกสู่ช่องแคบสิงคโปร์ ผมสังเกตเห็นบางอย่างทางด้านกราบขวาของเรือ ห่างออกไปไม่เกิน 1 กิโลเมตร ลอยอยู่บนผิวน้ำทะเล มองดูคล้ายๆกับกำลังมีการก่อสร้างตึกขนาดใหญ่หรือโรงงานอะไรสักอย่าง มันมีปล่องท่อขนาดใหญ่หลายท่อตั้งสูงขึ้นคล้ายๆปลองไฟของโรงงาน แต่ไม่น่าจะใช่!. เพราะไม่เห็นมีควันไฟลอยขึ้นเหมือนกับปล่องควันไฟของโรงงานทั่วๆไป ด้านข้างมีเรือลากจูงจอดเทียบอยู่ 2 ลำ บนลานกว้างใหญ่ มีรถบรรทุกสิบล้อประเภทรถดั๊มพ์ รถตักดิน เครน และเครื่องจักรกลต่างๆ ที่มีรูปร่างแปลกๆ กำลังทำงานกันอยู่วุ่นวาย ได้ยินเสียงเครื่องยนต์ดังชัดเจน
ความสงสัยของผม วิ่งขึ้นมาจุกอยู่ที่คอหอย ถ้าไม่ได้คำตอบ ผมต้องอ๊วกแตกแน่ๆ
มองๆดูแล้ว ไม่มีใคร นอกจากกัปตันไก่ เพียงคนเดียว ที่จะช่วยบรรเทาอาการจุกแน่นคอหอยของผมได้
“กัปตัน!..นั่นโรงงานอะไร?” ผมเหวี่ยงคำถามเข้าไปตรงๆ พร้อมกับชี้ไปที่สิ่งประหลาดอันน่าสงสัยนั่น
“อ๋อ..สถานีสร้างเขื่อน” กัปตันไก่ตอบผม โดยไม่ได้มองไปที่ไอ้อะไรนั่นสักแวบเดียว
“เขื่อนไร?..เขื่อนกั้นเล?” ผมยิ่งจุกแน่นเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะนึกไม่ออก จินตนาการไม่ถูกว่ามันจะเป็นเขื่อนได้ยังไง!?..
“เขื่อนกั้นคลื่น ไม่ให้ซัดเข้าไปในอ่าว” ผมถึงบางสะพานใหญ่ แต่ยังมีอาการจุก
“มันทำงานยังไงหละ กัปตันพอรู้มั๊ย?” ผมขับต่อไป
“ใช้กำลังลมเป่าลงไปตามท่อ ให้ตะกอนและโคลนลอยกระจายออกจากแนวที่ต้องการสร้างเขื่อน และทำให้พื้นดินใต้น้ำอัดแน่นด้วย”  ผมถึงบางสะพานน้อย ค่อยหายใจโล่งขึ้น
“แล้วมันจะเป็นเขื่อนได้ยังไง?” ผมขับไปเรื่อยๆ อาการจุกค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย
                “ก็ซีเมนต์ หิน ทราย เอามาผสมกันแล้วเทลงไป เหมือนสร้างเสาตอหม้อสะพานงัย!.” เริ่มเข้าเขตบางขุนเทียน
“แล้วเอาหิน ทราย มากมายมาจากไหน ให้พอถมเล?” เข้าเขตกรุงเทพฯการจราจรคับคั่ง ผมชะลอความเร็ว อาการจุกค่อยๆหาย
“ซื้อมาจาก ฟิลิปปิน อินโดฯ เวียดนาม เขมรและไทย” แล้วก็ถึงบางอ้อ..อาการจุกเหลือนิดหน่อย
“โห..ต้องใช้เงินกี่พันล้านริงกิต ถึงจะถมเลนี่ให้เป็นเขื่อนได้!?” อาการจุกที่คอหอยหายเป็นปลิดทิ้ง
“ซื้อเกาะพีพีได้ทั้งเกาะมั่ง” กัปตันไก่สรุป ผมเห็นด้วยอย่างยิ่ง
เมื่อเราคุยกันจบ เรือแล่นออกสู่ทะเลน่านน้ำสิงคโปร์ ในช่องแคบมะละกา

สถานีสร้างเขื่อนกั้นคลื่นของมาเลเซีย
กัปตันไก่บังคับเรือเลี้ยวไปทางขวา แล่นออกสู่ทะเลน่านน้ำของสิงคโปร์ ริมแฟร์เวย์(Fairway) ด้านขวาของช่องแคบสิคโปร์ พร้อมกับเรียกบังใจ ให้มาถือท้าย ส่วนตัวเอง หยิบเอาแผนที่เดินเรือ (ที่มีอยู่แผ่นเดียว) ออกมาหาตำแหน่งเส้นรุ้ง(Latitude) เส้นแวง(Longtitude) แล้วพล๊อตเข็มกำหนดเส้นทางเดินเรือ โดยตั้งเข็มมุ่งไปทางทิศตะวันตก หมายเอาเกาะเล็กๆ อันเป็นจุดซึ่งเป็นที่ตั้งของประภาคาร ไฟนำร่อง ด้านใต้ของอ่าวสิงคโปร์เป็นจุดแรก
แสงแดดเจิดจ้า ท้องฟ้าแจ่มใส ไร้เมฆหมอก ทัศน์วิสัยปรอดโปร่ง ทางกราบขวาของเรือ ห่างออกไปประมาณ 15 ไมล์ทะเล มองเห็นตึกระฟ้าของประเทศสิงคโปร์ ได้ชัดเจน ทางกราบซ้ายของเรือไกลออกไป มองเห็นประเทศอินโดนีเซียอยู่ลิบๆ 
ในช่องแคบสิงคโปร์ เรือสินค้าชนิดต่างๆและเรือบรรทุกน้ำมันขนาดยักษ์ แล่นสวนกันเหมือนรถยนต์บนถนนพระราม2
 
เกาะสิงคโปร์

ประเทศอินโดนีเซีย
 ในช่องแคบสิงคโปร์ การจราจรทางน้ำหนาแน่นเหมือนบนถนนในกรุงเทพฯ (เพียงแต่ไม่ติดไฟแดง) คลาคล่ำไปด้วยเรือหลากหลายชนิด แล่นไปมา ดูสับสนวุ่นวาย ทั้งเรือบรรทุกสินค้า เรือน้ำมัน เรือโดยสารขนาดต่างๆ รูปร่างเพรียวลมสวยงาม หลากหลายสีสัน ซึ่งแล่นให้บริการระหว่าง มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย
เรือลากจูงบรรทุกสินค้าคล้ายๆเรือลากจูงในแม่น้ำเจ้าพระยา แต่มีขนาดใหญ่โตกว่าหลายเท่า  เรือพวกนี้ลากจูงสินค้าจากประเทศอินโดนีเซียไปส่งตามท่าเรือ(Port) ต่างๆ ซึ่งตั้งอยู่ตามแนวฝั่งของประเทศสิงคโปร์
เรือโดยสารแล่นระหว่างมาเลเซีย-อินโดนีเซีย
เรือลากจูงพวกนี้จะเป็นอันตรายมาก สำหรับเรือยอช์ท หรือเรือขนาดเล็ก ที่ไม่เคยผ่านเข้ามาในช่องแคบสิงคโปร์หรือช่องแคบมะละกา ถ้าหากคนถือท้ายเรือที่ขาดความรู้ ความชำนาญและขาดความละเอียดรอบคอบ ไม่สังเกตให้ดี จะชนเอากับสายลวดสลิงที่ใช้โยงจากเรือลากกับเรือใส่สินค้าซึ่งมีความยาวมาก จะทำให้เรือที่ชนจมลงทันที
แต่ก็มีอยู่บ่อยๆ เหมือนกันเมื่อคนขับเรือลากจูงคำนวณผิดพลาด แล่นตัดหน้าเรือยักษ์ แต่ไม่พ้น ผลก็คือทั้งเรือลากและเรือถูกลาก จมเรียบร้อยโรงเรียนช่องแคบ โดยไม่มีการหยุดให้ความช่วยเหลือใดๆ จากเรือยักษ์เหล่านั้น
ขณะที่เรากำลังแล่นอยู่เกือบๆกลางแฟร์เวย์ (Fairway) มีเรือสินค้า และเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์(Container)แล่นแซงทางกราบขวาบ้าง ทางกราบซ้ายบ้างของเราไปตลอดเวลา

เรือยักษ์ กำลังแซงเราไป
สาบานครับพี่น้อง..มันแซงจริงๆ มันแซงหน้าตาเฉย มันแซงแบบไม่เห็นฝุ่น (เพราะมีแต่น้ำ ฮ้า..) ขนาดว่า มันแล่นตามหลังเรามาทิ้งระยะห่างไม่ต่ำกว่า 3 กิโลเมตร เผลอนั่งคุยกันไม่เกิน 3 นาที พอเห็นเงามืดๆ หันไปมองอีกที มันแซงเราไปแล้ว!...

แซงไม่เห็นฝุ่น
มีอยู่ช่วงหนึ่ง ขณะที่พวกเรานั่งโม้กันเพลินๆ มีเรือบรรทุกคอนเทนเนอร์ ลำหนึ่งแซงเราไปทางกราบซ้าย ในระยะห่าง ประมาณสักหนึ่งกิโลเมตรเห็นจะได้ แต่พอมันแซงเลยไปทิ้งระยะห่างสัก 500 เมตร เรือเราหมุนคว้าง หันหัวกลับหลัง ทำเอาบังใจตาเหลือก ร้องเฮ้ยๆๆ..
กับตันไก่ ต้องเตือน บังใจ ว่าอย่าเผลอมองอย่างอื่นเพลินเกินไป ให้ระวังคลื่นจากเรือที่แซงหรือเรือที่สวนมาด้วย..
อันว่าเรือยักษ์ที่มีระวางขับน้ำหลายหมื่นตันพวกนี้ ทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำรุนแรงมาก เมื่อมันแซงขึ้นไปหรือสวนมา จะต้องหลบให้ห่างออกไปโดยเร็วที่สุด เท่าที่จะทำได้ และพยายามแล่นฟันคลื่นเฉียงๆเข้าไว้  พลาดท่ามันอาจจะดูดจมหายลงไปใต้น้ำได้ง่ายๆ และอย่าได้คิดว่ามันจะหลบให้เรือเล็กๆ กะจิ๋วหลิวเชียวนะ เพราะมันถือว่าทะลึ่งแล่นเข้าไปในเลนของมันแล้วไม่ระวัง  ลูกพี่ใหญ่ชนเอาง่ายๆและเกิดขึ้นบ่อยๆซะด้วย

เรือที่ไม่มีสินค้าหรือน้ำมันอยู่ในระวาง
ความใหญ่โตมโหฬารของเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์และเรือบรรทุกน้ำมันที่อยู่ในแฟร์เวย์แต่ละลำประมาณการไม่ได้ว่าขนาดเท่ากับอะไร บางลำลอยสูงขึ้นจนมองเห็นหางเสือและใบจักรของเรือได้ชัดเจน ขนาดว่ามองจากระยะไกลๆ ยังพอประมาณความสูงได้ไม่ต่ำกว่าตึก 10 ชั้น บางลำก็จมหายลงไปใต้ผิวน้ำ โผล่บางส่วนขึ้นมาเท่านั้น แต่ยังเห็นได้ถึงความอลังการงานสร้าง เทียบกับเรือเราแล้วกลายเป็นเรือเด็กเล่นไปเลย
**********************
***เกร็ดเล็กๆน้อยๆ เกี่ยวกับเรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์และเรือบรรทุกน้ำมัน***
...เรือบรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก คือ เรือ    MAERSK LINE (Emma Maersk) สัญชาติเดนมาร์ก กว้าง  207  ฟุต(63.1 เมตร)  ยาว  1,302  ฟุต(396.85 เมตร) ระวางขับน้ำ 123,200 ตัน เครื่องยนต์ 108,920 แรงม้า  ความเร็ว  31 น๊อต หรือ 55.80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บรรทุกตู้คอนเทนเนอร์ได้  15.000  ตู้  มีลูกเรือ 13  คน
เรือคอนเทนเนอร์ใหญ่ที่สุด(ขอบคุณภาพจากเว็บไซต์)

เรือบรรทุกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุด(ขอบคุณภาพจากเว๊บไซต์)

...เรือบรรทุกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลกคือ เรือ Knock Nevis กว้าง 69 เมตรและยาว 458 เมตร
*********************
เราแล่นผ่านเรือยักษ์ ขนาดต่างๆ ที่ทิ้งสมอจอดลอยลำอยู่ ลำแล้วลำเล่า บางลำสีสันสดใสใหม่เอี่ยม บางลำก็เก่าจนสีตก สนิมเขลอะทั้งลำก็มี มันมากซะจนผมถ่ายรูปไม่หวาดไม่ไหว ยอมรับว่าไม่เคยเห็นเรือลำใหญ่ๆ จำนวนมากมายขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ตื่นเต้นเหมือนได้เห็นสาวโคโยตี้!...

เรือคอนเทนเนอร์
พวกเราชวนกันแอ็คชั่นถ่ายรูปให้เรือยักษ์เป็นแบ็คกราวด์ เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึกและจะได้เอาไปอวดคนที่บ้าน ซึ่งก็แล้วแต่ว่าใครจะเอาไปอวดใคร!?..
บนท้องฟ้า มีเครื่องบินรบเกาะฝูง บินวนไปวนมา ระยะต่ำบ้าง สูงบ้าง เสียงดังจนแสบแก้วหู
กัปตันไก่บอกว่าเป็นเครื่องบินรบของประเทศสิงคโปร์ ขึ้นฝึกบินทุกวัน วันละหลายๆรอบ แต่ก็บินไปไหนได้ไม่ไกล เพราะน่านฟ้าของสิงคโปร์มีนิดเดียว จึงบินวนเวียนเล่นอยู่แถวๆนี้
แถมมีความเห็นเพิ่มเติมมาอีกว่า “มันก็บินเล่นได้ทั้งวัน เพราะน้ำมันของเขาถูก ถ้าเป็นประเทศเรา คงล่มจม”
ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งกับความคิดเห็นอันนั้นของกัปตันไก่...


ลำนี้เก๋ากึ๊กมาก แต่ยังแล่นน้ำกระจาย
 บ่าย 4 โมง คุณบันเทิง รับเวรถือท้ายต่อจากบังใจ แสงแดดยังเจิดจ้า ท้องทะเลน่านน้ำสิงคโปร์ราบเรียบ ท้องฟ้าปลอดโปร่งไร้เมฆหมอก มองเห็นคลังน้ำมันขนาดใหญ่ เรียงรายอยู่ตามชายฝั่งของสิงคโปร์
เรือเราแล่นเลียบอยู่ริมแฟร์เวย์ด้านฝั่งสิงคโปร์ ด้วยความเร็วปกติ มุ่งหน้าตรงไปที่ประภาคาร กระโจมไฟนำร่องของสิงคโปร์ ซึ่งขณะนั้นมองเห็นอยู่ไม่ไกล
ประภาคารไฟของสิงคโปร์ สร้างอยู่บนเกาะหนึ่ง ในกลุ่มหมู่เกาะเล็กๆ 3-4 เกาะ ในตำแหน่งทิศใต้ของอ่าวสิงคโปร์ฝั่งตะวันตก ประภาคารแห่งนี้มีความสำคัญ ต่อชาวเรือเป็นอย่างมาก เพราะเป็นจุดสังเกตในการแล่นเรือเข้าช่องแคบสิงคโปร์และเข้าอ่าวสิงคโปร์

ประภาคารของสิงคโปร์
“แล่นไปทางซ้ายของประภาคาร แล้วค่อยตีขึ้นตะวันตกเฉียงเหนือ” กัปตันไก่บอกคุณบันเทิงให้ถือท้ายไปตามเข็มนั้น
คุณบันเทิงย้อนถามว่า “ระยะห่างเท่าใด?” คงหมายถึง ระหว่างเรือกับหมู่เกาะนั่น
“ห่างสัก 2 ไมล์ ก็ดี เพราะแถวนั้นมีกองหินมาก” กัปตันไก่ หมายถึงหินโสโครกที่อยู่ใต้น้ำ
ช่องแคบสิงคโปร์ ในช่วงนี้จะกว้างมาก และห่างจากชายฝั่งของสิงคโปร์ ออกมาไกลพอสมควร ในบริเวณนี้จึงไม่มีเรือสินค้าหรือเรือใดๆ ทิ้งสมอให้เห็น ส่วนเรือที่แล่นอยู่ในช่องแคบก็ไกลออกไปทางด้านซ้ายมือ ระยะห่างจากเรา ไม่ต่ำกว่า 10 ไมล์ทะเล การถือท้ายจึงไม่ต้องกังวลกับเรือพวกนั้น แต่ที่จะต้องระวังให้มากคือหินใต้น้ำ จับผลัดจับผลูดวงซวยขึ้นมา แล่นไปเสยโครมเข้ากับหินโสโครก เรือแตก มีหวังได้ลอยคอตายอืดอยู่แถวนั้นแน่ๆ อย่าหวังว่าจะมีใครมาช่วย เพราะเขานึกว่าเป็นพวกอินโดฯ ฮา..
อีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา คุณบันเทิงถือท้ายอ้อมหมู่เกาะที่ตั้งกระโจมไฟ ตั้งเข็มไปที่ตะวันตกเฉียงเหนือประมาณ 350 องศา มุ่งหน้าไปยังอ่าวสิงคโปร์ด้านทิศตะวันตก เพื่อผ่านไปเข้าสู่น่านน้ำมาเลเซียด้านทิศใต้
แดดร่มลมตก แสงแดดอ่อนๆ บรรยากาศบนเรือน่าตั้งวงร่ำเมรัยเป็นบ้า...
 กัปตันไก่ บังหมาน,ยุทธนั่งบ้าง นอนบ้างอยู่ในอิริยาบถสบายๆตามอัธยาศัย หลบแดดกันทางกราบขวา ส่วนผมหามุมกล้องเก็บภาพไปเรื่อยๆ...
อยู่ๆได้ยินเสียงบังใจ ร้องโว๊กๆ เหมือนคนบ้าพบแบงค์ยี่สิบ ที่ด้านกราบซ้ายของเรือ
“ปลาโว้ยยย...ไอ้เก๋า!..เบ้อเริ่มเลยยย..มาดูเร็วๆ” พร้อมกับชี้ลงไปในทะเลข้างๆกราบเรือ
คุณบันเทิงที่กำลังนั่งถือท้ายถอนเคราอยู่เพลินๆ หันหน้าขวับคอเกือบหลุด เมื่อได้ยินคำว่า “ไอ้เก๋า”
กัปตันไก่ ผงกหัวขึ้นจากการนอนเหยียดยาวบนที่นั่งพัก
บังหมาน,ยุทธ ต่างขยับตัวมองไปที่บังใจพร้อมๆกัน อย่างสงสัยกับคำว่า “ไอ้เก๋า”

อากัปกิริยาของแต่ละคน เมื่อได้ยินเสียง  บังใจร้องว่า ไอ้เก๋า
เป็นที่รู้กันว่า “ไอ้เก๋า” หรือ “ปลาเก๋า” เป็นปลาหน้าดินน้ำลึก อาศัยหากินอยู่ตามแนวปะการังและกลุ่มโขดหินใต้น้ำ ไม่ใช่วิสัยของ ปลาชนิดนั้นที่จะขึ้นมาว่ายเล่นบนผิวน้ำเหมือนปลาโลมา ทุกคนจึงมองไปที่บังใจ อย่างสงสัยว่าเพี้ยนหรือปล่อยมุขกันแน่...แต่ก็ไม่ใช่นิสัยของบังใจ เพราะเป็นคนไม่ชอบพูดเล่น
“มาดูเร็วๆ..บันเทิงหยุดใบจักรก่อน” บังใจเร่งมาอีกพร้อมกับบอกให้คุณบันเทิงหยุดเรือ นั่นแหละทุกคนจึงได้ทยอยลุกไปที่กราบซ้าย เพื่อจะดูให้รู้แน่ว่ามันคืออะไร?..
และแล้ว..ทุกคนก็เห็น ปลาเก๋าดอกแดง ขนาดใหญ่ (ปลาเก๋า มีหลายชนิด เก๋าดอกแดง,เก๋าดอกดำ,เก๋าถ่าน,เก๋าขี้ลิง,ฯลฯ) กำลัง ผลุบๆโผล่ๆ ว่ายน้ำอยู่จริงๆ ลักษณะเหมือนได้รับบาดเจ็บ มันพยายามจะดำลงใต้ผิวน้ำ แต่ก็ดำไม่ลง จึงต้องว่ายตะแคงตีกรรเชียงหมุนเป็นวงอยู่ตรงบริเวณนั้น
ปลาน้ำลึกโดยทั่วไป ถ้าหากขึ้นมาถึงผิวน้ำแล้ว มันจะกลับลงไปอีกไม่ได้ เพราะแรงกดของน้ำด้านบนจะเบาบางกว่าระดับน้ำลึกด้านล่าง เมื่อมันขึ้นมาที่ระดับใกล้ผิวน้ำ ทำให้อากาศเข้าในถุงลมของมันมากเกินไป มันจึงดำไม่ลง ชาวเรือเรียกว่า “ปลาพุงแตก” เรื่องแบบนี้ นักตกปลาน้ำลึกจะรู้ดี เมื่อปลากินเบ็ด ต้องพยายามเย่อขึ้นมาให้ถึงระดับกลางน้ำให้ได้ หลังจากนั้นจะไม่ยาก เพราะอากาศจะเข้าถุงลมของปลา และปลาจะหมดแรงจากแรงกดของน้ำที่เบาบางกว่า เหมือนคนเดินขึ้นภูเขาสูงๆ ยิ่งสูงมาก อากาศยิ่งเบาบาง ยิ่งหมดแรง.
หลังจากที่ทุกคนมารวมตัวกันที่กราบเรือ และเห็นว่าเป็นปลาเก๋าจริงๆ จึงได้หายสงสัย!.. แต่..ความอยากได้ปลาเก๋าตัวนั้นเข้ามาแทนที่!..
“หมาน..ไปเอาสวิงมา เร็ว” กัปตันไก่ สั่งบังหมาน
บังหมาน กระโดดผลุงลงไปในท้องเรือ ทันใดไวเหมือนลิง
2-3 นาทีต่อมา บังหมาน ใช้สวิงพยายามตักปลาตัวนั้น แต่ก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด ไอ้เก๋า ตัวนั้น ว่ายตีกรรเชียงหลบไปได้อย่างหวุดหวิดทุกที บางครั้งมันก็มุดหายลงใต้ผิวน้ำ คุณบันเทิงต้องเดินเครื่องเรือวนรอจังหวะ จนอึดใจใหญ่ๆ มันจึงลอยขึ้นมาอีก และในที่สุดก็หนีไม่พ้นสวิงของบังหมาน ซึ่งใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที
บังหมานใช้กำลังพอสมควรสู้กับแรงดิ้นและน้ำหนักของมัน กว่าจะเอาขึ้นมาบนดาดฟ้าได้ เล่นเอาหอบ แฮ่ก แฮ่ก เหมือนหมาวิ่งตามพระบิณฑบาต
“ไอ้เก๋า” ตัวนั้น ผมกะคร่าวๆ น้ำหนักไม่น่าจะต่ำจาก 10 กิโลกรัม ซึ่งนับว่าไม่เล็กกับระดับความลึกของน้ำในบริเวณนี้  เท่าที่ผมเคยเห็นนักตกปลาอาชีพในทะเลอันดามัน ที่ระดับน้ำลึกเกิน 100 เมตร ตกมาได้แต่ละตัว น้ำหนักเกิน 30 กิโลกรัมก็มี
พวกเราต่างช่วยกันสำรวจปลาตัวนั้น ว่ามันไปโดนอะไรมา ถึงได้ลอยขึ้นมาแถกเหงือกอยู่บนผิวน้ำได้ จะว่าขาดหลุดมาจากการติดเบ็ด ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะเมื่อบังใจแงะปากของมันดู ไม่เห็นมีเบ็ดติดคาอยู่ แต่ท้องของมันพองมากเกินปกติ จากอากาศที่อัดเข้าไปอยู่ในถุงลมมากเกินไป
แต่ละคนตั้งข้อสังเกตต่างๆนาๆแล้วแต่ว่าใครจะนึกสาเหตุอะไรขึ้นมาได้
“มันอาจจะโดนน้ำจากใบจักรเรือตีเอาก็ได้” กัปตันไก่สรุปสำนวน เพื่อปิดคดี
“แต่ที่แน่ๆ มื้อค่ำนี้ เราได้กิน แกงส้มและต้มยำหัวปลาเก๋า” บังหมาน พูดออกมาดังๆ ทำให้ทุกคนยิ้ม!..
“อุตส่าห์ลากเบ็ดมาตั้งแต่เกาะหมุย ติดแต่ปลาถุงพลาสติกกับปลากิ่งไม้ กลับมาได้กินปลาลอยน้ำที่หน้าอ่าวสิงคโปร์ รู้ไปถึงไหนอายไปถึงนั่น” บังใจ บ่นพึมพำ ก่อนจะหิ้ว “ไอ้เก๋า” ลงไปในห้องครัวชั้นล่าง

ปลาเก๋าดอกแดง ที่ตักมาได้จากข้างเรือ
กระทั่ง 6 โมงเย็น ยุทธ รับเวรถือท้ายแทนคุณบันเทิง ช่วงเวลาดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้า เรือเราเข้ามาแล่นอยู่ในระหว่างกองทัพเรือบรรทุกน้ำมัน ที่ทิ้งสมออยู่ในอ่าวสิงคโปร์อีกครั้ง มองไปทางไหนเห็นแต่เรือยักษ์ เรือยักษ์และเรือยักษ์ ยักษ์จริงๆ ยักษ์จนไม่น่าเชื่อว่ามันจะลอยน้ำได้ บางลำยาวเกือบครึ่งกิโลเมตร มันเป็นผลงานของมนุษย์ตัวเล็กๆโดยแท้...

เรือบรรทุกน้ำมันลำนี้ ประเมินไม่ได้ว่าใหญ่โตเท่ากับอะไร?
กัปตันไก่ เอาแผนที่ออกมาดูอีกครั้ง หลังจากเปรียบเทียบกับเข็มทิศและจีพีเอส จนแน่ใจ..
จึงหันมาพูดกับยุทธว่า “ยุทธ เห็นไอ้ที่สูงๆ มียอดแหลมๆนั่นมั๊ย?”
พร้อมกับชี้ไปที่อะไรสักอย่าง ซึ่งผมมองดูคล้ายๆกับหอไอเฟลลอยน้ำ ห่างออกไปสักประมาณ 5 ไมล์
“เห็น!” ยุทธ ตอบสั้นๆ ตามบุคลิกที่เป็นคนไม่ค่อยพูดมาก ถ้าไม่เมา!..
“ใช้เข็มนี่แหละ แต่แล่นไปทางซ้ายไอ้นั่นนะ”
 ยุทธ พยักหน้า วันนี้พูดน้อยจริงๆ และไม่ขี้สงสัย หรือสงสัย แต่ไม่ถาม เพราะขี้เกียจพูด ผมก็ไม่อยากคิดเหมือนกัน
กัปตันไก่จึงพูดต่อ “อีกชั่วโมงกว่าๆ ก็เข้าเขตน่านน้ำมาเลย์แล้ว” พูดจบ ถอยมานั่งสูบบุหรี่ตรงที่นั่งพักด้านหลัง
เกือบทุ่ม แสงอาทิตย์หมดไปจากท้องฟ้า ความมืดโรยตัวลงมาแทนที่ เมื่อเรือแล่นมาถึงไอ้เจ้าสิ่งที่ผมมองเป็นหอไอเฟลลอยน้ำตั้งแต่ทีแรก แต่พอมาใกล้ๆ รูปทรงมันเปลี่ยนไป มันดูคล้ายสถานีขุดเจาะน้ำมันหรืออู่ซ่อมเรือลอยน้ำมากกว่า ลักษณะของมันมีลานกว้างใหญ่ วางอยู่บนฐานคล้ายเสา 4 ฐาน สูงเกินตึก 10 ชั้นเหนือระดับพื้นน้ำ บนลานนั้นเต็มไปด้วยเครื่องจักรชนิดต่างๆ มากมาย ตรงกลางลานมีลักษณะคล้ายๆหอคอยรวบเรียวสูงขึ้นไปจนกลายเป็นยอดแหลม เมื่อมองจากระยะไกล คล้ายๆกับหอบัญชาการในหนังสงครามอวกาศหรือหนังเอเลี่ยนอะไรประมาณนั้น
ผมเริ่มมีอาการ เหมือนกับมีก้อนอะไรขึ้นมาจุกที่คอหอยอีกแล้วครับท่าน..
ผมมองไปที่กัปตันไก่ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปาก...
“สถานีสร้างเขื่อนกั้นคลื่นของสิงค์โป” มันชิงพูดขึ้นก่อน อย่างรู้ทันว่าผมจะพูดอะไรกับมัน
“แต่อลังการกว่าของมาเลย์ เพราะสิงคโปร์ รวยกว่ามาเลย์ และพื้นที่สร้างเขื่อนกว้างกว่าของมาเลย์ เมื่อผมมาเที่ยวก่อน มันไม่ได้อยู่ตรงนี้ มันอยู่ใกล้ๆชายฝั่งโน่น” กัปตันไก่ชี้ไปชายฝั่งอีกด้าน พร้อมพูดอธิบายกับผม แบบแล็คเช่อร์ให้นักศึกษาฟัง
ผมไม่มีคำถาม ได้แต่พยักหน้าและหันไปมองไอ้นั่นอย่างนับถือหมดหัวใจ แล้วกดชัตเตอร์ ฉึก ฉึก ฉึก
เราแล่นผ่านสถานีสร้างเขื่อนนั่น ผ่านเรือบรรทุกน้ำมัน ซึ่งเป็นเรือส่วนใหญ่ในอ่าวนี้ 

สถานีสร้างเขื่อนกั้นคลื่นของสิงคโปร์
เวลาผ่านไป ความมืดมากขึ้น แสงไฟจากเรือต่างๆ เริ่มส่องแสงระยิบระยับสว่างไสวไปทั่วท้องทะเล มองดูเหมือนมหานครกลางน้ำก็ไม่ปาน แต่การแล่นเรือทำได้ยากขึ้น เพราะทัศน์วิสัยการมองเห็นยากขึ้น เนื่องจากมีแสงไฟจำนวนมากที่มาจากเรือเหล่านั้น หลอกสายตา

ไฟจากเรือที่ทิ้งสมอลอยลำ ประดับประดาอย่างสวยงาม

กัปตันไก่ บอกยุทธให้ลดความเร็วของเรือลง จนอยู่ในระดับค่อยๆไหลไปเรื่อยๆ ตามช่องว่างระหว่างเรือน้ำมันที่ทิ้งสมออยู่หนาแน่น
“ยุทธ!..ระวังสายสมอเรือน้ำมันด้วย..ทุกคนช่วยกันดูด้วย!.. กัปตันไก่ เตือนยุทธ พร้อมกับบอกพวกเรา
บนหน้าจอ จีพีเอส.มีจุดสีแดงเต็มพรืดไปหมด นั่นหมายถึงว่ามีสิ่งกีดขวาง ที่เป็นอันตรายอยู่รอบทิศทาง  สถานการณ์เริ่มตึงเครียด ทุกคนประสาทตื่นตัวเต็มที่ เตรียมพร้อมรับกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิด ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา..
หลังจากที่กัปตันไก่ บอกเตือนไม่นาน..ในขณะที่พวกเรากำลังเพลินอยู่กับแสงไฟจากเรือที่ประดับประดาอย่างสวยงามอยู่นั้น..
“เฮ้ย..เฮ้ย..ฉิบหายแล้ว..กัปตันดูอะไรนั่น!?..” ยุทธ ร้องเสียงหลง อย่างตื่นเต้น ตกใจ แบบควบคุมอารมณ์ไม่อยู่..
“อะไร?” เสียงกัปตันไก่ ตื่นเต้นไม่น้อยเหมือนกัน
“ข้างหน้า!..” ยุทธบอก
กัปตันไก่ หยิบไฟสปอร์ตไลท์ ที่วางอยู่ใกล้ๆเข็มทิศ ส่องวาบไปทางด้านหัวเรือ...แสงของสปอร์ตไลท์ ขนาด 500 วัตต์ กระทบกับอะไรบางอย่างทึบทะมึน เป็นแนวยาวคล้ายกำแพง โผล่พ้นขึ้นมาจากผิวน้ำประมาณ 10 เมตร ขวางอยู่ทางด้านหัวเรือ ห่างออกไปไม่เกิน 50 เมตร
“หยุดใบจักร..ถอยหลังเต็มที่” เสียงกัปตันไก่ ดังแบบที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน ตั้งแต่ออกมาจากเกาะสมุย..
ยุทธ ปลดเกียร์เดินหน้า ยัดเข้าตำแหน่งเกียร์ถอยหลัง แล้วอัดคันเร่งเต็มที่ โดยไม่กลัวว่าลูกสูบจะหลุดกระเด็นออกมานอกเครื่องยนต์
เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่ม เรือสะท้านไปทั้งลำ ถึงยังงั้น ก็ไม่ใช่ว่าเรือจะหยุดได้ในทันที น้ำหนักของเรือบวกกับแรงเฉื่อย ยังพาเรือไปข้างหน้าไม่ต่ำจาก 20 เมตร ถึงได้หยุดแล้วค่อยๆ ถอยหลังกลับช้าๆ
ขณะเวลาฉุกละหุกนั้น กัปตันไก่ ยังส่องสปอร์ตไลท์ กวาดจับไปที่กำแพงนั้น ซ้ายที่ ขวาที จนสุดลำแสง
“ไอ้ห่า...สร้างเสร็จเร็วฉิบหาย” กัปตันไก่ สบถพร้อมๆกับปิดสปอร์ตไลท์
“ยุทธ!..หยุดใบจักร ลอยลำก่อน” หันไปสั่งยุทธด้วยเสียงที่ปกติขึ้น
ยุทธ ปลดเกียร์ว่าง หยุดใบจักร ปล่อยให้เรือลอยลำอยู่กับที่
“อะไร กัปตัน?” เสียงบังใจ สงสัยเต็มที่
“กำแพงกันคลื่น” กัปตันไก่ ตอบสั้นๆ
“อัลลอฮ์..เกือบฉิบหายเลย” บังใจร้องออกพระเจ้า
“เอายังไงต่อ?” ยุทธถามขึ้น
“ก็ต้องกลับไปทางเดิม แต่เลียบกำแพงนี่ไป เสียเวลาฉิบหาย มาเที่ยวก่อน มันยังไม่มีเลย” กัปตันไก่ บ่นยาว
“เที่ยวก่อนหนะ เมื่อไหร่ล่ะกัปตัน?” บังหมาน ถามแบบเย้าๆ
“ปีที่แล้ว!” กัปตันไก่ ตอบ
“ตั้งปีที่แล้ว มันก็เสร็จได้มั่งแหละกัปตัน” พูดจบ บังหมาน หัวเราะ อิอิ..ตามนิสัยสไตล์ของแขกเจ้าสำราญ
กัปตันไก่ ไม่สนใจคำพูดของบังหมาน แต่หันไปบอกกับยุทธว่า “เอ้า..ยุทธ!. ไป..ตีหัวกลับ เลียบเขื่อนลงไปเรื่อยๆ สุดเขื่อนแล้วค่อยว่ากันอีกที กะระยะให้ห่างจากไอ้กำแพงเมืองจีนนี่สัก 100 เมตร เผื่อมีอะไรขวางอยู่ข้างหน้า พอได้เอาทัน”
ยุทธ เข้าเกียร์เดินหน้า หมุนพังงาหันหัวเรือตั้งลำ แล่นเลียบเขื่อนกั้นคลื่นไปช้าๆ อย่างไม่ประมาท ทิ้งระยะห่าง พอจะมองเห็นเขื่อนได้ชัดเจน ระยะห่างประมาณนี้ จะมีช่องว่างโล่งตลอด ไม่ต้องคอยระวังเรือยักษ์ ที่ทิ้งสมออยู่ทางด้านกราบซ้ายห่างออกไป ประมาณ 1 ไมล์เป็นอย่างน้อย

 บังหมาน รับช่วงถือท้าย ต่อจากยุทธ เมื่อเวลา 2 ทุ่ม....
“ไม่มีใครหิวข้าวกันมั่งเลยรึ?” คุณบันเทิง พูดขึ้นเปรยๆ ทำนองหารือ เพราะเลยเวลากินข้าวมานานพอสมควร
“เดี๋ยว ค่อยไปทิ้งสมอ ที่หน้าอ่าวมาเลย์ กินข้าวและคืนนี้นอนที่นั่น คงอีกไม่นาน” กัปตันไก่ พูดให้ทุกคนได้ยิน
“อ้าว..ถ้าจะนอน ทำไมไม่ทิ้งสมอนอนที่ในอ่าวนี่ซะเลย จะได้นอนดูไฟสวยๆด้วย” บังหมานว่า
“ทิ้งลงไปสิ!..ไม่เกินครึ่งชั่วโมง เจ้าท่าสิงค์โปมันก็มาเก็บตังค์” กัปตันไก่พูด
“เก็บค่าอะไร กัปตัน?” บังหมานสงสัย
“ค่าทิ้งสมอลงในทะเลของมัน” กัปตันแจง
“บ๊ะ!..มียังงี้ด้วย” บังหมานว่า
“เก็บยังไง?.. เก็บเท่าไหร่?” บังหมาน สงสัย
“มันก็เก็บเป็นเงินสด คิดตามน้ำหนักของเรือและบวกกับจำนวนเวลาที่ทิ้งสมออยู่ในทะเลของมันนี่แหละ” กัปตันไก่ อธิบายต่อ
“ไอ้ หย๊า..ไม่เคยได้ยินที่ไหนเขาทำกัน..โหดฉิบหาย” แขกหมาน ร้องเป็นเจ๊กภูเก็ต..
กัปตันไก่พูดต่อว่า “โหดไม่โหดก็ไม่รู้แหละ..ไม่ว่าเรืออะไร ถ้ามาทิ้งสมอในทะเลของมัน ต้องจ่ายทุกลำ”
“ถ้าพรรค์นั้น..บุกมืดไปนอนหน้ามาเลย์ฯดีกว่า เก็บตังค์เอาไว้ ไปกินคอหมูย่างที่ภูเก็ต ได้แรงอกหวา” บังหมาน สรุป ทำเอาผมน้ำลายเต็มปาก อิอิ..
อีกประมาณครึ่งชั่วโมงต่อมา เรือแล่นมาจนสุดปลายเขื่อนกั้นคลื่น กัปตันไก่ บอกบังหมาน ให้ตีวงเลี้ยวขวา ตั้งหัวไปทางตะวันตกเฉียงเหนืออีกครั้ง มุ่งเข้าสู่น่านน้ำของประเทศมาเลเซีย...
4 ทุ่ม กัปตันไก่ รับช่วงถือท้ายจากบังหมาน กระทั่งเกือบๆ ห้าทุ่ม จึงเข้ามาอยู่ในอ่าวของมาเลเซีย ซึ่งมืดและเงียบสงบ ในอ่าวนี้ไม่มีเรือใหญ่ นอกจากเรือจับปลาลำเล็กๆ ของชาวประมงมาเลเซีย มองเห็นสัญญาณไฟแดงในเรือแลบแว๊บๆ อยู่ทั่วไป มองกลับไปด้านหลัง เห็นแสงไฟระยิบระยับ จากเรือต่างๆ ในอ่าวสิงคโปร์ ห่างออกไปลิบๆ

ไฟจากเรือ ที่ทิ้งสมอลอยลำอยู่ในอ่าวสิงคโปร์
กัปตันไก่ ดูหน้าจอ จีพีเอส.  บังคับเรือแล่นหลบหลีกอวนจับปลาและซั้งของชาวบ้านไปช้าๆ กระทั่งได้ตำแหน่งที่เหมาะสม จึงบอกทุกคนให้เตรียมตัวทิ้งสมอ
หลังจาก 20 นาที เสียงเครื่องยนต์เงียบสนิท หลัง 5 ทุ่ม พวกเราล้อมวงกันเงียบๆ กินข้าวมื้อเย็นกับแกงส้มและต้มยำปลาเก๋า
เกือบเที่ยงคืน จึงได้แยกย้ายกันนอน รอวันรุ่งขึ้น ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะได้พบ ได้เจอกับอะไรอีกบ้าง?...ยากจะคาดเดา!!!..
...โปรดคอยติดตามตอนต่อไป...
--------------------------------------------------------------------

1 ความคิดเห็น:

จักริน กล่าวว่า...

ผมยังไม่ได้อ่านเลย แต่อยากพูดก่อนว่า นั่นและบ้านโผ้ม ผมอยู่ปากนังครับ ผมอยู่เรือไอ้ลำใหญ่นั่นแหละ เก๋งมี 8 ชั้น บางลำก็มีลีฟ แต่ลำผมไม่มี ลำผมยาว 180 เมตรเอง น้ำหนักรวมก็ 29,000 ตันครับ ยังมีมากว่านี้มี ที่ยาว 3-400 เมตรก็มีเคยเจอแถวอเมริกา แต่เรือผมไม่ได้วิ่งแถวสิงคโปนะ ผมวิ่งรอบโลกครับ วิ่งทะเลแอตแลนติก แปซิฟิก ทะเลจีนนานๆที วิ่งไปอเมกา-มอร๊อคโค-เวเนซูเอล่า-โคลัมเบีย-ไอซ์แลน-นอเวย์-แนเทอแลน-ตูระกี-รัสเซีย-แคนนาดา-เปรู-จีน-ญี่ปุ่น-เกาหลีใต้ ประมาณนี้ครับ ที่จริงเยอะกว่านี้เดี๋ยวยาวไปน่าเบื่อ นี่และอาชีพชาวเรือครับ