วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตรังกานู – เกาะแตงโกล์ 22 ก.ย.51 (Terengganu-Tenggol Island) ตอน คายัค ปริศนา?


จากความตอนที่แล้ว เราฝ่าพายุจากเกาะเรดัง มาทิ้งสมอนอนอยู่ที่ หน้าเมืองท่าตรังกานูจนเช้าวันที่ 22 ก.ย.51 โดยไม่ได้กินข้าว......ติดตามเหตูการณ์ วันที่ 22 ต่อไปครับ...

ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อ ได้กลิ่นหอมของอาหารเข้าจมูก สัมผัสความโคลงเคลง โยกเยก ของเรือได้เล็กน้อย สำนึกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันและแสดงว่า ผมหลับแบบม้วนเดียวจบ โดยไม่รู้สึก ตั้งแต่เสือกตัวลงนอนเมื่อหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา จนกระทั่งเช้าของวันนี้

ผมลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ เห็น กัปตันไก่ นอนสูบบุหรี่อยู่ที่เดิม ไม่เห็นคนอื่นๆ น่าจะเป็นผมคนเดียวที่ตื่นหลังสุด ดูนาฬิกาที่ข้อมือ 6 โมงเช้าเศษ ทัศน์วิสัยรอบด้านมัวซัว ท้องฟ้ายังครึ้มฝน ลมพัดอ่อนๆ แต่ทะเลราบเรียบ ไม่มีร่องรอยของพายุบ้าเลือด เมื่อคืนให้เห็นแม้แต่นิดเดียว นี่แหละหนา เขาว่า ทะเลเหมือน อารมณ์ของผู้หญิงบางคน (เหมาหมดไม่ได้ ประเดี๋ยวแม่เจ้าประคุณ จะหาว่าผมมีอคติ) เวลามาแต่ละครั้งตั้งหลักรับแทบไม่ทัน บทจะไปก็เงียบกริบเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“เป็นไงบ้าง พี่สาม เมื่อคืน มันส์ มั๊ย?” กัปตันไก่ ทักทายผม

ผมตอบไปว่า “มันส์ ชิ๊ปหายเลยวะ ไม่ได้เจอแบบนี้มานานแล้ว”

กัปตันไก่ พูดต่อว่า “วอร์มไว้ก่อน ยังมีหนักกว่านี่อีก กว่าจะถึงภูเก็ต ยังต้องเจออีกหลายดอก” พูดแล้วหัวเราะ หึ หึ อัดบุหรี่ต่อ

ผมตอบกลับไปว่า “เออ ว่ะ ถึงไหนถึงกัน” ผมจับหลวงปู่ทวด หลังเตารีด ปี 05 ที่ห้อยคออยู่กับสร้อยลูกปัด ท่านยังอยู่กับผม.! ท่านยังไม่ทิ้ง ผมยังอุ่นใจ

ผมใช้กล้องส่องทางไกลมองสำรวจไปบนฝั่งด้านทิศตะวันตก ห่างออกไปจากเรือ ประมาณ 2 กิโลเมตร สิ่งแรกที่สะดุดตา คือ ตึกสูงหลายชั้นและอาคาร บ้านเรือนหนาแน่น, ท่าเทียบเรือใหญ่, ถนนเลียบชายหาด เห็นรถยนต์ที่พอจับสังเกตได้ วิ่งอยู่ ขวักไขว่

ผมถาม กัปตันไก่ “ตอนนี้ เราอยู่ที่ไหน?”

กัปตันไก่ ตอบมาว่า “หน้าเมืองท่า ตรังกานู”

“อ๋อ” ผมร้องในคอ แสดงว่า ตอนมาถึงเมื่อคืน ผมเข้าใจผิดถนัด

เมืองท่าตรังกานู เช้าวันที่ 22 ก.ย.ท้องฟ้ายังมัวซัว

ผมขยับลุกขึ้น เพื่อจะเก็บพับผ้าห่มและหมอนสามเหลี่ยม ที่เป็นเครื่องบริขาร รู้สึกปวดข้อหัวแม่เท้าซ้ายจี๊ด ก้มลงมองเห็นบวมแดงนิดๆและเมื่อจับดู เริ่มปวด ตุบตุบ คงจะสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง ตอนชุลมุน เมื่อคืน

ผมลงไปห้องนอนชั้นล่าง เพื่อจะเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว เดินผ่านหน้าห้องครัว เห็นบังใจ กำลังสาละวน ทำกับข้าว ส่งกลิ่นหอมหวนโชยเข้าจมูก ทำเอาท้องผมร้อง จ๊อกๆ

ปกติ อาหารเช้าของพวกเรา มีกาแฟ ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอกไก่ ไม่มีแฮมเบอเกอร์ ไม่มีเบคอน เพราะว่า บนเรือ เรามีอิสลามแท้ๆ อยู่ 1 คน และมีอิสลามเทียม 2 คน ตามที่ได้แนะนำกันไปแล้ว ก่อนเรือออกจากท่า ที่เกาะสมุย

เช้านี้ บังใจทำกับข้าว หลายอย่างเป็นอาหารเช้า คงต้องการชดเชย ที่อดอาหารค่ำเมื่อวาน เพราะพายุ เล่นงานเอาจน อาหารทุกอย่าง หกระเนระนาด เทกระจาดลงราดท้องเรือหมดเกลี้ยง

“พี่สาม หลับสบายดี?” บังใจทักทายผม

“หลับยาวเลย” ผมตอบและยิ้มให้ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องนอนที่อยู่ถัดไป เพื่อทำธุระส่วนตัว

ไม่นาน ผมก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรืออีกครั้ง เห็นแต่ละคนกำลังสาละวน ตรวจสอบ จัดเก็บอุปกรณ์ สิ่งของเครื่องใช้กันวุ่นวาย ผมทักทายทุกคน ตามธรรมเนียม

กระทั่งเวลาประมาณ 8 โมงเช้า กัปตันไก่ สั่งเตรียมออกเรือ (โดยยังไม่ได้กินข้าว)บังหมาน ลงไปเปิดฝาห้องเครื่อง แล้วสตาร์ทเครื่อง แต่เครื่องทำท่ารวน ติดๆ ดับๆ หลายครั้ง สุดท้าย ตะโกนขึ้นมาบอก กัปตันไก่ว่า “ท่าจะต้องเรื้อดู แล้วหละกัปตัน” แล้วก็เรียก ยุทธ ให้ลงไปช่วยอีกคน

เป็นอันว่า ต้องซ่อมเรือก่อน เพราะเครื่องสตาร์ทไม่ติดโดยไม่รู้สาเหตุ การถอนสมอและการกินข้าว จึงต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด ผมคิดอยู่ในใจ นี่ถ้ามันรวนเอาตอนที่กำลังฝ่าพายุเมื่อคืน ไม่รู้ว่าป่านนี้ เราไปติดประเทศไหน?

บังหมาน กับ ยุทธ และคุณบันเทิง ช่วยกัน ถอดโน่น ถอดนี่ ไม่นานก็รู้สาเหตุว่า น้ำเข้าไปปนอยู่ในปั๊มน้ำมันดีเซล เครื่องยนต์จึงติดๆ ดับๆ เออ...ให้มันได้ยังงี้ซิ!

ดูสีหน้าแต่ละคน ไม่เห็นว่าจะมีใครซีเรียส

ทั้งสามคนช่วยกันจัดการทำความสะอาดปั๊มน้ำมันไปพลาง พูดคุยเหย้าแหย่ หยอกล้อกันไปพลาง กัปตันไก่ ที่อยู่ข้างบนก็โผล่หน้า พูดแซวลงไปบ้าง พูดให้กำลังใจบ้าง ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครเครียด กับปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกคนมองปัญหา ทุกปัญหา เป็นเรื่องเล็กไปหมด นี่คือสภาพจิตใจที่เข้มแข็งของ นักสู้โดยแท้จริง.!

ร่วมๆ 2 ชั่วโมง ประมาณ 10 โมง เสียงเครื่องยนต์ ก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง อย่างหนักแน่น พร้อมที่จะตะลุยดงคลื่นต่อไป ต้องยอมรับฝีมือของบังหมาน เด็กหนุ่มอายุยังน้อย แต่ฝีมือทางเครื่องยนต์ ไม่น้อยเลย

หลังจากตรวจสอบ ทดลองเร่งเครื่องยนต์ดูเป็นที่พอใจแล้ว กัปตันไก่ สั่งถอนสมอ ทันที ทุกคนเข้าประจำที่ ตรวจสอบความพร้อม ของการเดินทาง ซึ่งอย่างน้อย ก็อีก 36 ชั่วโมง จึงจะได้พักอีกครั้ง

กัปตันไก่ ตั้งเข็มไปที่ หมู่เกาะ แตงโกล์(Tenggol) ทางทิศใต้ ฝั่งตะวันออกของประเทศมาเลเซีย เป็นจุดหมายต่อไป

เมื่อเรือตั้งลำได้ โดยมี บังหมาน รับหน้าที่ถือท้ายเป็นผลัดแรก นั่นแหละ บังใจ จึงได้ทยอยส่งอาหารขึ้นมาจากห้องครัวและพวกเราจึงได้กินอาหารกันอีกครั้ง หลังจากมื้อสุดท้าย เมื่อวานตอนสาย

บังหมาน เสียสละรับหน้าที่ถือท้ายเป็นผลัดแรกของวันนี้ โดยมีพวกเรากินข้าวกันก่อน

อิ่มหนำสำราญ กันถ้วนหน้า เก็บสำรับคับค้อนเรียบร้อย ต่างก็แยกย้ายกันหามุมเอนหลังตามอัธยาศัย อ่านหนังสือเล่มเก่าที่อ่านมาแล้วสิบรอบบ้าง ถอนขนจั๊กกะแร้บ้าง ตามกิจกรรมที่ถนัดของแต่ละคน

การอยู่บนเรือที่แล่นอยู่กลางทะเลนานๆ เห็นแต่น้ำกับฟ้าโดยไม่เห็นฝั่ง ตามสภาวะดินฟ้าอากาศปกติ ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี นั่งๆนอนๆ หลับๆ ตื่นๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรทำจริงๆ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่กลางพายุ เท่านั้นเอง

บ่ายแก่ๆ แดดจ้า ท้องฟ้าไม่มีเมฆหมอกสักก้อน ทะเลราบเรียบ ลมทะเลพัดอ่อนๆ ส่งมาทางท้ายเรือ ทำให้เรือเพิ่มความเร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อย ปุเลง ปุเลง แบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เหมือนรถไฟหัวรถจักรไอน้ำสมัยโบราณ แนวเข็มที่ตั้งไว้ห่างจากฝั่งประมาณ 20 ไมล์ทะเล จนมองไม่เห็นฝั่ง ขณะที่ผมนอนคิดอะไรเพลินๆ ได้ยินเสียงใครบางคน พูดขึ้นดังๆให้ดูบางอย่างทางด้านหัวเรือ

ผมลุกขึ้นมองไปทางกราบซ้ายด้านหัวเรือ ในทะเลก็เห็นเรือคายัค (Kayak) ลอยเท้งเต้งอยู่ลำหนึ่งเป็นชนิดนั่งพายสองคน แบบที่บริษัททัวร์นิยมให้บริการนักท่องเที่ยว พายชมธรรมชาติป่าโกงกางตามชายฝั่งทะเล ทั่วๆไปใช้กัน แต่ลำที่พวกเราเห็นลอยเท้งเต้งอยู่นั้น มันไม่มีคนพาย ไม่มีไม้พาย สภาพของมันกลางเก่า กลางใหม่ น่าจะยังใช้งานได้ดี แต่ทำไม? มันถึงมาลอยอยู่ห่างจากฝั่งตั้ง 20 ไมล์ทะเล ทุกคนตั้งข้อสังเกตไปต่างๆนาๆ

บ้างว่าอาจจะหลุดจากการผูกไว้ หรือเจ้าของทิ้งแล้ว หรือมีใครอุตริอวดดีพายเล่นออกมาไกลจนหมดแรง เกินกว่าจะพายกลับเข้าฝั่งหรือขณะกำลังพายเล่นเกิดเป็นลมหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน จากสาเหตุโรคประจำตัวหรืออะไรก็ตามแต่จะคาดเดา ตามจินตนาการของแต่ละคน

กระทั่งเรือเราแล่นผ่านมาจนเรือคายัค(Kayak)ลำนั้น ลับตาไป ก็ไม่มีใครสรุป หาสาเหตุได้ว่ามันมาลอยอยู่ห่างจากฝั่งตั้ง 20 ไมล์ทะเลได้อย่างไร ปล่อยให้ข้อกังขาและคำถามต่างๆ ลอยลับหายไปกับเรือคายัค ลำนั้นโดยไม่มีคำตอบ ทะเลช่างโหดร้ายแบบนี้จริงๆ!!!

คายัค ปริศนาลำนั้น

ล่องแล่นผ่านความเวิ้งว้าง ของทะเลราบเรียบและผ่านเวลามาจนกระทั่ง ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันตก (แน่นอนไม่ได้ลับทิวเขาเพราะมองไม่เห็นทิวเขา) มองแสงสะท้อนสีแดงเหมือนเลือดทางขอบฟ้าทิศตะวันออกดูน่ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก!?..

ถ้าใครมีความหลังที่ปวดร้าวขมขื่น มีความรักที่ถูกพลัดพราก มีความในใจที่บอกใครไม่ได้ แล้วมาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ จะรู้สึกสิ้นหวัง เหงา เศร้า ว้าเหว่ สุดจะทานทนแน่นอน

แสงสะท้อนทางด้านขอบฟ้าทิศตะวันออก ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก

 ใกล้จะหมดเวลาของกลางวัน พวกเราล้อมวงกันกินข้าวก่อนมืดสนิท ถ้ามืดจะกินข้าวกันลำบาก เพราะถ้ามืดสนิทแล้ว ขณะที่เรือแล่นอยู่ในทะเล จะต้องปิดไฟในเรือทั้งหมด เหลือไว้เฉพาะไฟเสากระโดงและไฟสัญญาณเดินเรือ เขียว แดง ซ้าย ขวา บนหลังคาเท่านั้น

เหตุผลที่ต้องปิดไฟในเรือ ก็เหมือนกับการที่คุณกำลังขับรถตอนกลางคืน แล้วถ้าเมียหรือแฟนหรือกิ๊ก ของคุณเสือกเปิดไฟในรถเพื่อว่าคุณเธอจะหาอะไรสักอย่าง ที่แม่เจ้าพระคุณคิดว่าจำเป็นจะต้องหาให้ได้ในเวลานั้น รับรองว่าคุณต้องลดความเร็วลงทันที เพราะคุณจะมองข้างหน้าเห็นไม่ถนัด ฉันใดก็ฉันนั้น ยิ่งถ้าเป็นในเรือยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเรือ ไม่มีไฟหน้าเหมือนรถยนต์ ถ้าเสือกเปิดไฟขณะที่เรือแล่น มีหวังได้ชนกับคลื่นวินาศสันตะโร

พวกเราจัดการกับอาหารมื้อนั้นเสร็จสรรพในเวลาอันรวดเร็ว และบรรจุกันเต็มที่เพราะไม่มีใครรับรองได้ว่าจะได้กินมื้อต่อไปหรือไม่!?..

และในอนาคตอันใกล้ของค่ำคืนนี้จะเจอกับเหตุการณ์อะไรอีกหรือไม่?.. ไม่มีใครบอกได้!..

พบกันใหม่ตอนต่อไป คงไม่นานเกินรอนะครับ

-----------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2553

"โหดแรกที่เกาะเรดัง" ในคืนวันที่ 21 ก.ย.51

ณ.บัดนั้น กัปตันไก่ ตะโกนเสียงดังแข่งกับเสียงลมพายุ ว่า “ไอ้หมานติดเครื่อง..ไอ้ใจถอนสมอ ออกเรือเดี๋ยวนี้โว้ย!”


คุณบันเทิง หันมาดูกัปตันไก่ด้วยความสงสัย ที่อยู่ๆก็สั่งให้ถอนสมอ ออกเรือ แต่แล้วก็รีบตาลีตาเหลือกเก็บสายเบ็ดซุกไว้ในถังใส่ปลา โดยไม่มีการม้วนแต่อย่างใด เมื่อเห็นก้อนเมฆดำทะมึนลอยใกล้เข้ามาพร้อมกับม่านฝนหนาทึบ

บังหมาน กระโดดลงห้องเครื่องด้วยความเร็วประดุจปลาสาก ติดเครื่องยนต์ครางกระหึ่มขึ้นทันที

บังใจ กระโจนไปยังหัวเรือตำแหน่งรอรับสมอ เป็นขณะเดียวกับที่กัปตันไก่ กำลังบังคับเครื่องกว้านให้กว้านสมอขึ้นมา

เสียงเครื่องยนต์ถูกเร่งเต็มที่จากคันเร่งในมือกัปตันไก่ จนเรือสะท้านไปทั้งลำ ใบจักรกินน้ำจนพุ่งกระจายขึ้นมา เพื่อดันลำเรือให้ขยับพ้นจากหน้าผา ที่อยู่ห่างจากท้ายเรือ อีกไม่เกินสิบวา

ส่วนผมทำอะไรไม่ถูก ทำได้แค่พยายามหาที่ยึดที่มั่นคงที่สุด ตามคำสั่งของกัปตันไก่ ความรู้สึกตอนนั้น เหมือนกับว่า เรือมันไม่ได้เดินหน้า แต่มันกำลังถอยหลัง กำลังถอยเข้าไปหาหน้าผาเรื่อยๆ ผมกลั้นลมหายใจ เริ่มท่องคาถาหลวงปู่ทวด “นะโม โพธิสัตโต อะคันติมายะ อิติ ภะคะวา ๆๆๆๆ”

สมอยังไม่ทันพ้นน้ำ ห่าฝนและลมพายุชุดแรกหอบเอาคลื่นลูกเท่าตึกห้าชั้น กระหน่ำเข้าใส่กราบเรือด้านขวา โครม! เรือเอียงวูบไปทางซ้าย ทุกคนเซไปตามแรงเหวี่ยงของเรือ เพราะยังไม่ทันได้ตั้งหลัก ได้ยินเสียงสิ่งของหลายอย่างตกลงบนพื้นเรือ โครม คราม เพล้ง และบางอย่างตกลงทะเล แต่ไม่มีใครสนใจ เพราะต่างคน ต่างก็พยายามช่วยเหลือตัวเอง ไม่ให้ถูกเหวี่ยงอออกจากเรือ

กัปตันไก่ เปิดฝาครอบคันเร่งออก แล้วผลักคันเร่งไปข้างหน้าอีกจนสุด กระทั่ง ก้านคันเร่งกระแทกกับร่องดักคันเร่งด้านหน้า เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเพิ่มขึ้นอีกระดับ เกือบ 10 นาที เรือจึงค่อยๆ ขยับ ฝ่าพายุ ฟันภูเขาคลื่น ออกห่างมาจากหน้าผานั่น ทีล่ะนิด ทีล่ะนิด จนมองไม่เห็นหน้าผาด้านหลัง ที่ถูกม่านฝนบนบังมืดมิด

ผมสูดลมหายใจลึกเพื่อระงับความตื่นเต้น แต่ยังท่องคาถา หลวงปู่ทวดอยู่ตลอดเวลา กัปตันไก่ บังคับหัวเรือฟันคลื่น เฉียงๆ ไปทางตะวันตกเฉียงใต้ มุ่งหน้าเข้าหาแผ่นดินใหญ่ ขณะที่ฝน คลื่น ลม หนักขึ้นทุกที

สภาพอากาศมืดมิดด้วยม่านฝนและเวลาของกลางคืน ทุกคน เปียกโชกจากน้ำฝนและน้ำทะเลที่คลื่นซัดขึ้นมาบนดาดฟ้าอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา ลูกแล้ว ลูกเล่า เล็กบ้าง ใหญ่บ้าง สลับกันอยู่อย่างนั้น ไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลง

ทุกคนต่างก็หามุมที่ปลอดภัยและยึดตัวเองไว้อย่างเหนียวแน่น เพื่อไม่ให้เรือเหวี่ยง ลงทะเล ถ้าบังเอิญว่ามีใครโชคร้ายตกลงไปในตอนนี้ แทงบัญชีหายสาบสูญได้เลย ไม่มีหนทางช่วยเหลือได้จริงๆ

ผมได้ที่นั่งพิงฝาผนังปากช่องบันไดทางลงท้องเรือ หันหน้าไปทางท้ายเรือ ซึ่งพอจะบังลม บังฝนได้บ้าง คิดจะเอาเสื้อชูชีพที่อยู่ในช่องเก็บมาใส่ แต่เมื่อสังเกตทุกคนไม่มีใครใส่ใจ ผมเลยลมเลิกความคิดนั้นเสีย ก็ให้มันรู้ไป อะไรจะเกิด มันก็ต้องเกิด ผมคิดอย่างปลงตก

ยุทธ ตะกายขึ้นมาจากห้องครัวหน้ายู่ยี่ เนื้อตัวมอมแมม ขณะที่เสียง โพล้ง เพล้ง พล้าง โครม คราม ดังตามหลังขึ้นมาจากห้องครัวตลอดเวลา ผมแน่ใจว่า มื้อค่ำวันนี้ ทุกคนอดข้าวแหง ๆ และยังนึกไม่ออกว่าจะอยู่รอด ได้กินข้าวมื้อหน้าหรือไม่?

เรือ”สุวรรณมัจฉา”แล่นฟันคลื่นจนหัวเรือกระโจนขึ้นสูงเมื่อคลื่นหนุนเข้าทางหัว แล้วมุดหัวตักน้ำตูมเมื่อคลื่นผ่านไปหนุนทางท้ายเรือ สลับกับเอียงไปทางซ้ายวูบที ทางขวาวูบที มองออกไปรอบๆเรือทุกทิศ ทุกทาง มืดมิด ไม่เห็นแสงไฟจากเรือลำอื่นหรือจากที่ไหนๆ ประหนึ่งเหมือนมีแต่เรือเราลำเดียวอยู่ในโลก ไม่ได้ยินเสียงพูดคุยของพวกเรา ได้ยินแต่เพียงเสียงของหล่นลงพื้นเป็นระยะเสียงเครื่องยนต์ยังดังกระหึ่มสม่ำเสมอแต่หนักแน่น แข่งกับเสียงฝน เสียงพายุ เสียงคลื่น อื้ออึงที่ยังโหมกระแทกเข้ามาตลอดเวลา โดยไม่มีทีท่า ว่าจะเบาบาง

พวกเราต่อสู้ กับพายุและคลื่นอย่างทรหดมาเกือบ 2 ชั่วโมง กัปตันไก่ จึงเรียกบังหมาน ให้มาช่วยถือท้ายแทน บอกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว แน่นอน เกือบ 2 ชั่วโมงที่ผ่านมา ต้องยืนหมุนพังงาเรือ เพื่อบังคับทิศทางตลอดเวลา แล้วยังจะต้องฝืนประคองตัว ต่อสู้กับแรงเหวี่ยง ของเรืออีก ถ้าไม่เหนื่อย ไม่ล้าบ้าง ก็ไม่ใช่คนแล้ว

“สุวรรณมัจฉา”สมชื่อ พาพวกเรา ต่อสู้กับคลื่นและพายุ มาเกือบเที่ยงคืน จึงได้เบาบางลง และเริ่มมองเห็น แสงไฟจากบนฝั่ง ระยิบระยับเลือนราง กัปตันไก่ มารับหน้าที่ต่อจาก คุณบันเทิงที่รับช่วงต่อจากบังหมาน เพื่อนำเรือเข้าหาฝั่งและกำหนดพิกัดหาตำแหน่งทิ้งสมอ

กระทั่ง เริ่มมองเห็น แสงไฟ จากตึกราม บ้านช่อง และแสงไฟจากรถ ที่วิ่งอยู่บนฝั่งชัดเจนขึ้น กัปตันไก่ เบาเครื่องยนต์ แล้วสั่งให้ ทิ้งสมอ ผมดูเวลา เลยเที่ยงคืนนิดหน่อย เราตะลุยฝ่าคลื่น ลม เพื่อเข้าหาฝั่ง มาร่วมๆ 7 ชั่วโมง ใช่..เจ็ดชั่วโมงที่หายใจไม่ทั่วท้อง

เสียงเครื่องยนต์ เงียบสนิท หลังจากสมอลงน้ำ 15 นาที คลื่น ลม สงบ แต่สายฝนยังโปรยปรายลงมา ทุกคนช่วยกัน สำรวจตรวจตรา ข้าวของเครื่องใช้ บนดาดฟ้า ปรากฏว่าถังน้ำมันสำรองหายไป 2 ใบ และในห้องครัวด้านล่าง จาน ชาม ช้อน หม้อ กะทะ ตะหลิว อยู่กันคนล่ะทิศ ละทาง กับข้าวมื้อค่ำเรี่ยราดอยู่บนพื้น พวกเราช่วยกันคนละไม้ คนละมือ เก็บกวาด ล้าง เช็ดถู จนทุกอย่างกลับเข้าสู่สภาพเดิม จึงได้กลับขึ้นมานั่ง ชุมนุมกัน บนดาดฟ้าอีกครั้ง โดยไม่มีใครพูดถึงเรื่องกินข้าวกันเลย บ้า..ชิ๊บหาย หิวจะตายห่าอยู่แล้ว(ผมได้แค่คิดในใจ)

กัปตันไก่ บอกทุกคนว่า คืนนี้ นอนที่นี่ พรุ่งนี้ ค่อยไป สั้นๆแค่นั้น แล้วเอนหลังลงนอนบนที่นอนประจำข้างๆพังงาเรือ ซึ่งเพิ่งจะแห้งหมาดๆ ทั้งชุดที่ยังเปียกน้ำฝนและน้ำทะเลจากคลื่น แล้วจุดบุหรี่สูบปุ๋ย

ส่วนผมท่าจะให้นอนทั้งชุดเปียกๆ คงไม่ไหวแน่ จึงลงไปที่ห้องนอนท้องเรือจัดการเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ที่เป็นกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดหลวมๆ

เมื่อขึ้นมาบนดาดฟ้าอีกครั้งเห็นทุกคนนอนกันอย่างหมดเรี่ยวแรง จึงเสือกตัวลงนอนใกล้ๆพวกนั้น แล้วก็หลับไปในเวลาไม่นาน

***หมายเหตุ...ตอนนี้ไม่มีภาพแน่นอน เพราะมีภารกิจเอาชีวิตรอด***

วันอาทิตย์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2553

ลาสงขลา มุ่งหน้าสู่เรดัง 20 ก.ย. 51

ทีมเดนตาย

เช้าวันที่ 20 กันยายน 2551 ท่าเทียบเรือ สงขลา ฝนยังตกพรำๆ ติดต่อกันมาตั้งแต่เมื่อคืน
ประมาณ 8 โมงเช้า หลังจากที่ ทุกคน เสร็จสรรพจาก กาแฟและอาหารเช้ากันแล้ว กัปตันไก่ ง่วนกับการติดต่อไปทางภูเก็ต เรื่องการโอนเงิน ค่าโสหุ้ย (ค่าน้ำมัน ค่าเสบียงอาหาร) มาให้ ไว้สำรองใช้จ่าย ระหว่างการเดินทางผ่าน ประเทศ มาเลเซีย สิงค์โป

ได้รับคำตอบกลับมาว่า คนเซ็น อนุมัติ การเบิกจ่าย ไม่อยู่ จะเข้ามาบริษัท ตอนบ่ายๆ กัปตันไก่ บ่นพึมอย่างหัวเสีย แน่นอน ความล่าช้าจากสาเหตุอะไรก็ตาม เวลาของการเดินทาง ย่อมเพิ่มขึ้นเป็นหลายวัน แต่ราคาค่าจ้าง ยังเท่าเดิม เขาย่อมเสียประโยชน์

แต่จำเป็นต้องรอ เพราะเงินบาทแลกเป็นเงิน ริงค์กิต ในประเทศไทย จะได้ราคาสูงกว่า แลกในประเทศ มาเลเซีย ผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไม? อัตราการแลกเปลี่ยน จึงเป็นแบบนี้

กัปตันไก่ พูดกับทุกคนว่า “อนุญาตให้ใคร ไปทำอะไร ที่ไหนก็ได้ แต่ให้กลับมาถึงเรือก่อนบ่ายโมง” เป็นที่เข้าใจกันทุกคน และจะต้องรักษาอย่างเคร่งครัด

สายหน่อยฝนซาเม็ด แต่ฟ้ายังครึ้ม บังใจกับคุณบันเทิง ชวนกันขึ้นบกไปก่อน กัปตันไก่, บังหมานกับยุทธ อยู่เรือ ส่วนผม ตั้งใจจะเข้าไปตัวเมืองสงขลา เพื่อหาซื้อหนังสือ ไว้อ่านฆ่าเวลา ช่วงที่เรือแล่นอยู่ในทะเล

หลังจากที่ บังใจกับคุณบันเทิง ขึ้นจากเรือไปประมาณครึ่งชั่วโมง ผมก็ขึ้นจากเรือ มาเดินเกร่ มองหามอเตอร์ไซ รับจ้างแถวท่าเรือ สูบบุหรี่หมดไปมวน ไม่มีผ่านมา สักคัน มองหารถโดยสารประจำทางก็ไม่มี

ท่าเทียบเรือสงขลา จะอยู่ลึกเข้ามาพอสมควร ไม่ได้เป็นย่านชุมนุมชน จึงค่อนข้างจะหารถยาก ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆ กะว่าคงจะมีคุณเสื้อกั๊กผ่านมาบ้าง

ผมเดินจนมองเห็นตัวตลาดสงขลา ก็ยังไม่มีรถที่คิดว่าพอจะโดยสารได้ผ่านมาสักคัน จนกระทั่งผมเดินถึงตัวตลาด ใช้เวลาร่วมครึ่งชั่วโมง เล่นเอาเหงื่อซึมไปเหมือนกัน

ตัวเมืองสงขลาในอดีตเคยเป็นอย่างไร ปัจจุบันก็ยังเป็นอย่างนั้น ไม่มีอะไรใหม่ ไม่มีการพัฒนาเพิ่มเติม ดูๆ แล้วก็เหมือนจังหวัดชายทะเลเล็กๆทั่วไปในประเทศไทย

ศูนย์กลางธุรกิจและการค้าต่างๆ รวมอยู่ที่อำเภอหาดใหญ่ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นโรงแรมหรูๆ ศูนย์การค้าใหญ่ๆ สถานบันเทิง โรงนวด คาราโอเกะ การค้าผู้หญิง การค้าแรงงานเด็ก แรงงานต่างด้าว แหล่งฟอกเงินและทุกอย่างที่เมืองใหญ่ๆเขามีกัน อำเภอหาดใหญ่จึงมีนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้าน มาเลเซีย,สิงค์โป เอาเงินมาทิ้งปีละหลายพันล้านบาท การพัฒนาทุกอย่างจึงไปกองอยู่ที่นั่น รวมทั้งสนามบิน

ผมเดินเกร่ดูอะไรเรื่อยเปื่อย อยู่ในย่านการค้าสงขลา จนเที่ยงเศษ แวะเข้าร้านหนังสือ เลือกได้ ต่วยตูน ฉบับพิเศษกับมติชนสุดสัปดาห์ มาอย่างละเล่ม จึงออกเดินมาที่วินฯ เรียกคุณพี่เสื้อกั๊กสีแดง คันหนึ่ง เพื่อให้ไปส่งที่ท่าเรือ สอบถามราคา คุณพี่แกบอก 50 บาท ผมตอบตกลง โดยไม่กล้าต่อรอง แล้วคุณพี่แกก็พาผมลัดเลาะ เลี้ยวซ้าย เลี้ยวขวา ไม่ถึงสิบนาที ถึงท่าเรือ

เมื่อผมมาถึงเรือ กัปตันไก่ ขึ้นบกไปก่อนแล้ว บ่ายโมงเศษ คุณบันเทิงกับบังใจ มาถึง หอบข้าวของ พะรุงพะรังหลายอย่าง บอกว่าซื้อจากหาดใหญ่ ไปฝากภูเก็ต(เออ.คิดได้ยังไง) และเมื่อพวกเราลูกเรือ พร้อมหน้ากันแล้ว ก็ตกลงกันว่า จะกินข้าวเที่ยงกันก่อน โดยไม่รอ กัปตันไก่

บ่าย 2 โมงเศษ กัปตันไก่ มาถึงเรือด้วยสีหน้าดีขึ้น และบอกให้พวกเราเตรียมตัวออกเรือ พวกเราทุกคนเข้าประจำตำแหน่ง ตามหน้าที่ อย่างรวดเร็ว เพราะเริ่มเบื่อท่าเรือสงขลาเต็มที มันไม่มีอะไรให้บันเทิงเริงใจเลย

บังหมาน พูดขึ้น “ไปมาเลย์ฯดีกว่า” ก่อนลงห้องเครื่อง สตาร์ทเครื่องยนต์กระหึ่มขึ้น

บังใจ เตรียมปลดเชือกหัว คุณบันเทิง เชือกท้าย ยุทธ ดูกราบขวา ส่วนผม เตรียมยก ลูกยางกันกระแทกข้างแคมเรือด้านซ้าย

กัปตันไก่ เข้าตำแหน่ง ตั้งเครื่อง GPSกับเข็มทิศเดินเรือ

เมื่อทุกอย่างเรียบร้อย กัปตันไก่ สั่งปลดเชือก แล้วเร่งเครื่องยนต์เดินหน้า เบนหัวเรือตีวงเลี้ยวขวาออกสู่ปากร่องน้ำ

ผ่านโป๊ะดักปลา ที่เกือบจะชนเอาเมื่อวานนี้(ผมมองแล้วยังรู้สึกเสียวไม่หาย) ผ่านท่าเรือ เฟอร์รี่ ที่วิ่งระหว่าง สงขลากับหัวเขาแดง ซึ่งยังได้รับความนิยมการใช้บริการ จากผู้เดินทางสัญจร ไป มา ทั้งรถเล็ก รถใหญ่อย่างคับคั่ง แม้จะมีสะพาน เปรม ติณสูลานนท์ ที่สร้างข้ามทะเลสาบ สงขลา ผ่านทางเกาะยอ มาหลายปีแล้วก็ตาม

ผ่านท่าเทียบเรือสินค้าสงขลา ที่มีเรือน้ำมันและเรือบรรทุกสินค้าต่างๆ ทิ้งสมอ รอคิวเทียบท่า อยู่หลายลำ ตรงดิ่งมุงหน้าออกสู่ปากอ่าวสงขลา ผ่าน เกาะหนู เกาะแมว

เกาะหนู เกาะแมว

ผ่านแหลมสมิหลาทีมีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา แล้วเริ่มหันหัวเรือลงใต้ตั้งเข็ม พล๊อตแรกไปยัง รัฐ โกตาบารู(Kota Bharu) ประเทศมาเลเซีย ขณะที่ฟ้ายังฉ่ำฝน

กัปตันไก่ พล็อตเข็มลงใต้เฉียงไปทางตะวันออก ตามรูปแผนที่แหลมมาลายู โดยวางเส้นทางการเดินเรือ ห่างจากฝั่งประมาณ 15 ไมล์ทะเล ซึ่งเมื่อออกมาถึงจุดที่ตั้งเข็มแล้ว หากมองจากเรือไปทางทิศตะวันตก ก็จะเห็นแนวสีเทารางๆ ของภูเขาเท่านั้น

พล็อตเข็มนี้จะผ่าน จ.ปัตตานี และ จ.นราธิวาส จุดหมายแรกคือนอกชายฝั่งรัฐโกตาบารู(Kota Bharu) ประเทศมาเลเซีย ซึ่งมีเขตติดต่อกับ อ.ตากใบ จ.นราธิวาส โดยมีแม่น้ำตากใบเป็นเส้นแบ่งเขตแดน

นอกชายฝั่งออกมาไกลๆ คลื่นหยาบขึ้น กัปตันไก่ แล่นด้วยเครื่องยนต์ เต็มสปีด (ด้วยความเร็ว 5 น๊อต) แต่เมื่อเจอคลื่นลูกใหญ่ๆ ซ้อนมาครั้งล่ะหลายระลอก ทำเอาเรือหยุดอยู่กับที่เดินหน้าไม่ได้เหมือนกัน บางครั้งรู้สึกว่าเรือจะถอยหลังกรูดๆเสียด้วยซ้ำ นี่ว่าขนาดเบาะๆ ถ้าเจอเข้าจังๆ คงต้องเดินหน้า 2 ถอยหลัง 3 แน่ๆ    เฮ้อ.....ปีหน้าจะถึงภูเก็ตหรือเปล่า ยังสงสัย?

จนเกือบค่ำ ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า เราเพิ่งจะเข้าเขต จ.ปัตตานี และเมื่อเราเสร็จจากอาหารเย็นของวันนี้ ฟ้าก็มืดพอดี เริ่มมองเห็นแสงไฟระยิบระยับ จากเรือปั่นไฟ ไกลออกไปทางทิศตะวันออก

เรือปั่นไฟพวกนั้น(วงการเรือประมงเรียกเรือไดร์) เป็นเรือจับปลาของพี่ไทยเรานี่แหละ แต่ลูกเรือจะเป็นคนพม่า(บางลำไต๋เป็นคนพม่าก็มี) เป็นเรือที่ติดตั้งดวงไฟวัตต์สูงๆ คล้าย สปอร์ตไลท์ ห้อยระโยงระยาง ไว้รอบลำเรือ ลำหนึ่งไม่น้อยกว่า 10 ดวง เพื่อล่อให้ฝูงปลาเข้ามาเล่นไฟ

เมื่อเห็นว่าฝูงปลาเข้ามาในรัศมีมากพอ ก็จะวิทยุเรียกให้เรือแม่ (เรือจับปลาที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าเรืออวนล้อม) เข้ามาทำการใช้อวนล้อมจับเอาปลา แล้วนำเข้าฝั่งไป ส่วนเรือปั่นไฟก็จะยังอยู่ที่เดิมหรือย้ายไปหาตำแหน่งใหม่ที่มีฝูงปลาต่อไปเรื่อยๆ จนกว่าจะหมดคืนเดือนมืด จึงจะกลับเข้าฝั่ง รวมแล้วเดือนหนึ่ง ต้องอยู่กลางทะเลไม่ต่ำกว่า 15 หรือ 20 วัน สำหรับเสบียงอาหารและน้ำจืด รวมทั้ง วีซีดีหนังโป๊ะ จะมีเรือแม่จากฝั่งนำมาส่งให้

ส่วนน้ำมัน ก็จะไปเติมจากเรือที่เรียกว่า เรือน้ำมันเขียว อันเป็นนโยบายของรัฐที่จัดให้ ในราคาถูกกว่าบนบก(แต่ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันเถื่อน)ซึ่งจะอยู่ด้านนอกห่างจากฝั่งออกไปอีก

อาชีพการจับปลาทะเล นับเป็นอาชีพที่ต้องใช้ความทรหดอดทนเป็นอย่างสูงอาชีพหนึ่ง แต่ไม่มีใครพูดถึงบ่อยนัก นอกจากว่าเมื่อเรือโดนพายุพัดจมลงหรือถูกเจ้าหน้าที่ของประเทศเพื่อนบ้านจับตัวไป แล้วโชคดีรอดกลับมาได้ นั่นแหละถึงจะมีข่าว มีคราว ให้ได้ รู้ได้เห็นกันบ้าง

ยิ่งดึก ก็ยิ่งเห็นแสงไฟจากเรือปั่น หนาแน่นมากขึ้น เพราะเข้าใกล้เขตน่านน้ำมาเลเซียเข้าไปทุกที ซึ่งเป็นที่รู้กันว่า มีปลาชุกชุม และพวกที่ลักลอบเข้าไปจับในเขตประเทศเพื่อนบ้านก็โดนจับไปบ่อยๆเหมือนกัน
ผมหลับไปตอนไหน ก็จำไม่ได้ จนตีสี่ ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมา รับเวรถือท้ายเรือ จนถึง 6 โมงเช้า

21 กันยายน 2551 เข้าเขตรัฐ โกตาบารู

เช้าวันนี้ท้องฟ้าแจ่มใส ทัศน์วิสัยเจิดจ้า ทะเลเรียบ ลมพัดอ่อนๆ ไม่มีเค้าเมฆฝนหรือพายุให้เห็น เรือแล่นสบายๆ จะเดิน จะนั่งค่อยสบายตัวหน่อย ไม่ต้องโหน ไม่ต้องพยุง

เราเข้าเขตรัฐ โกตาบารู (Kota Bharu) ประเทศมาเลเซีย มาพอสมควร ทะเลย่านนี้ ไม่มีเรือประมง ไม่มีเรือบรรทุกสินค้า แล่นให้เห็น มองไปทางไหน เห็นแต่ทะเลเวิ้งว้าง ไม่มีอะไรจริงๆ นอกจากเรือของเราเพียงลำเดียว และทำให้ผมเริ่มนึกถึงโจรสลัด

กัปตันไก่ เริ่มพล็อต เส้นทางใหม่ ตั้งเข็มไปที่ เกาะเรดัง (Redung) ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งรัฐโกตาบารู ไปทางทิศตะวันออกพอสมควร


แผนที่ เกาะเรดัง

กัปตันไก่ บอกว่าถ้าสภาพอากาศแบบนี้ ความเร็วขนาดนี้ และไม่มีความผิดพลาดทางเทคนิคใดๆ เราจะถึง เกาะ เรดัง ประมาณบ่าย 3 หรือ 4 โมงเย็น ของวันนี้ และจะทิ้งสมอค้างคืนที่นั่น เพื่อพักเรือและพักคน

เรือแล่นฝ่าความเวิ้งว้างของทะเลมา จนกระทั่ง บ่าย 3 โมงเศษ เริ่มมองเห็นเกาะอยู่ทางซ้ายของหัวเรือ
กัปตันไก่ เข้าทำหน้าที่ถือท้ายแทน ยุทธ เพื่อนำเรือเข้าหาชายฝั่งของเกาะเล็กๆที่มองเห็นหาดทรายขาวอยู่ลิบๆ


อ่าวทางทิศเหนือของเกาะเรดัง

ประมาณ 20 นาที กัปตันไก่ นำเรือเข้าหา ทุ่นผูกเรือ (mooring) บังใจ จัดการผูกเชือกหัวเรือกับทุ่นเสร็จเรียบร้อย กัปตันไก่ ปล่อยให้เครื่องยนต์ทำงาน อีกประมาณ 15 นาทีจึงบอกให้ บังหมาน ดับเครื่องได้

เป็นอันว่า เรามาถึง เกาะ เรดัง (Redung) ตามเวลาที่ กัปตันไก่ กำหนดไม่คลาดเคลื่อน(กว่า 24 ชั่วโมงจากสงขลา) ผมเก็บภาพมุมต่างๆ และสำรวจสภาพของเกาะไปในตัว

เกาะเรดัง (ตามข้อมูลที่ผมค้นหามาภายหลัง) ขนาดน้องๆเกาะสมุยของเรา มีโรงแรมและรีสอร์ทหรูมากเหมือนกัน มีสนามบิน ท่าเรือเฟอรี่ และสนามกอล์ฟ

ด้านที่เราจอดเรือ น่าจะเป็นทิศเหนือของเกาะ เท่าที่สายตาผมมองเห็น มี รีสอร์ทและโรงแรม อยู่บนชายหาดสัก 2-3 ที่  มีฝรั่งเข้าใจว่าเป็นนักท่องเที่ยว เดินเล่นอยู่หลายคน แต่ในทะเลริมหาด คงเล่นน้ำไม่ได้ เพราะมีโขดหินและแนวปะการัง ตลอดชายหาด

คุณบันเทิง ลงมือปฏิบัติการ เหวี่ยงเบ็ด ตกปลาทันที ปลากินเบ็ดดีมาก แต่เป็นปลาขี้ตังและปลาเก๋าตัวเล็กๆ เป็นเพราะน้ำไม่ลึกและปะการังมาก จึงไม่มีปลาใหญ่

คุณบันเทิงลงมือเหวี่ยงเบ็ดโดยมีบังหมาน นอนลุ้น

ขณะที่พวกเรา กำลังทอดอารมณ์และตกเบ็ดอยู่นั้น ได้มีเรือเล็กลำหนึ่ง แล่นออกจากฝั่งตรงมาที่เรือเรา มีเด็กหนุ่มๆอยู่ในเรือ 3 คน เรือลำนั้นแล่นวนสำรวจรอบเรือเรา หนึ่งรอบ แล้วชะลอเครื่อง ลอยลำอยู่ตรงหน้าบังใจ ที่กำลังตกปลา

หนึ่ง ใน 3 ตะโกนขึ้นมาเป็นภาษายาวี แล้วชี้ไปที่เบ็ดของคุณบันเทิง พร้อมกับทำมือทำไม้แบบว่าให้เอาเบ็ดขึ้น กัปตันไก่ มีความรู้ภาษายาวี พอสมควร พูดโต้ตอบ ไป สอง สาม ประโยค พวกนั้นจึงแล่นเรือกลับไป

กัปตันไก่ หันมาบอกกับพวกเราว่า “พวกนั้น มาบอกไม่ให้ตกปลา บริเวณนี้ เพราะเป็นเขตหวงห้าม ระวังจะโดนจับ”

แล้วบอกคุณบันเทิงกับบังใจ ให้เก็บเบ็ด และบอกทุกคนว่า “เตรียมออกเรือ จะย้ายไปอีกด้านของเกาะ”

เกือบซวยแล้ว มั๊ยล่ะ ยังไม่ทันถึงไหน จะติดคุกมาเลเซีย ซะแล้ว

เป็นที่รู้กันทั่วโลก ว่ากฎหมายมาเลเซีย บทลงโทษเขาเฉียบขาดขนาดไหน ยังนับว่าโชคดี ที่พวกนั้นมาเตือนเสียก่อน

เฮ้อ..เพิ่งจะเข้าเขตมาวันเดียวเฉี่ยวตะรางเข้าไปแล้ว ยังอีกยาวกว่าจะพ้นประเทศนี้ไปได้ ไม่รู้ว่าจะเจอกับอะไร อีกบ้าง?

บังใจเก็บสายเบ็ด ขณะที่กัปตันไก่ บังคับเรือเพื่อไปอีกด้านของเกาะ

กัปตันไก่ ออกเรือวิ่งช้าๆ อ้อมไปทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ ขณะนั้นเวลาใกล้จะ 6โมงเย็น ทางแผ่นดินใหญ่ มีเมฆฝนหนาทึบ ดำทะมึน ฟ้าแลบแปลบปลาบอยู่ในก้อนเมฆ

ไม่กี่นาทีต่อมา กัปตันไก่ ก็นำเรือมาถึงหน้าอ่าวเล็กๆ ทางด้านทิศตะวันตกของเกาะ ที่อยู่ระหว่างหน้าผาหิน มีหาดที่ยาวไม่น่าจะเกิน 200 เมตร บนฝั่งมองเห็นมีกำแพงสูงใหญ่อยู่ระหว่างโขดหิน ด้านหลังกำแพงลึกเข้าไป คงจะเป็น รีสอร์ทหรือโรงแรม ผมมองเห็นไม่ถนัดเพราะมีต้นไม้ใหญ่ๆบังอยู่

กัปตันไก่ สั่งให้ทิ้งสมอ เพื่อค้างคืนที่นี่

เมื่อทิ้งสมอเรียบร้อย คุณบันเทิงกับบังใจ ลงมือตกปลาอีกครั้ง มั่นใจว่า ในอ่าวนี้ ต้องมีปลาใหญ่แน่ ๆ แต่ที่ไม่มั่นใจแน่ๆ ก็คือไม่รู้ว่าเขาห้ามตกปลาหรือเปล่า

สักพักหลังจากนั้น ยุทธ หายลงไปในห้องครัว เพื่อเตรียม อาหารมื้อค่ำของวันนี้
ผมกับบังหมานคอยลุ้นสองคนที่กำลังตกปลา ที่มีค่อนข้างจะชุกชุม ทั้งสองคนสาวสายเบ็ดขึ้นมาถี่ๆ พร้อมกับปลาเก๋า,ปลานกแก้วและปลาข้างไฝ ติดเป็ดขึ้นมาทุกครั้ง

ขณะที่คนอื่นๆ กำลังเพลินกับการตกปลา ผมสังเกตุเห็น กัปตันไก่ ยืนเล็งไปที่ฝั่งแผ่นดินใหญ่ อย่างพินิจพิจารณา ผมมองตามไปบ้าง เห็นก้อนเมฆดำทะมึนพร้อมกับสายฟ้าแลบแปลบปลาบ และกำลังเคลื่อนตัวมายังทิศทางที่เราอยู่อย่างรวดเร็ว ลมที่พัดมาจากทางทิศนั้น ทำให้รู้สึกเย็นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ

ด้วยกำลังของลมที่ แรงขึ้น แรงขึ้น คลื่นเริ่มหยาบขึ้น สูงขึ้น และแล้วสมอเรือก็เริ่มกาว เรือค่อยๆ ขยับเข้าหาหน้าผา ทีละนิด ทีละนิด ทุกครั้งที่คลื่นกระแทกเข้ามา

***รอติดตามตอนต่อไป***

วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันที่สอง มุ่งหน้าเข้าท่าเรือสงขลา

ปากน้ำสงขลา
---------------
เช้าวันที่สองของการเดินทาง(19 กันยายน 51) ผมตื่นตั้งแต่ ตีห้ากว่าๆ อยู่ในทะเล ตีห้ากว่านี่ ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังจะมาเยือน เฮ้อ..คืนแรกรอดมาได้แล้วเว้ย... ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ทุกคนยังหลับสบายอยู่บนดาดฟ้านั่นแหละ ( ยกเว้น ยุทธ ซึ่งเข้าเวรถือท้าย ) ไม่มีใครนอนในห้องนอนกันเลยสักคน จริงๆแล้ว การนอนบนดาดฟ้าเรือ ก็สบายดี เรายกเอาฟูก หมอน ผ้าห่ม จากในห้องนอน ขึ้นมาบนดาดฟ้า เลือกตามมุมถนัดของแต่ล่ะคน ซึ่งจะหันหัว ทำมุมเฉียงๆ ไปทางด้านท้ายเรือ เพราะท้ายเรือ จะเอียงลาดกระดกสูงขึ้นนิดหน่อย ประมาณ 10-15 องศา และ หันปลายเท้า เฉียงไปทางกราบเรือ แต่ล่ะข้างพอประมาณ

ลักษณะการนอนแบบนั้น เวลาเรือโคลงตามคลื่น ก็จะไม่กลิ้งไป กลิ้งมา ตามการโคลงของเรือ แต่ถ้านอนหันหัวหันเท้าตามความยาวของลำเรือ ตอนนอนหลับเพลินๆ เมื่อมีคลื่นแรงๆ อาจจะกลิ้งตกทะเลไปเลยก็เป็นไปได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่มีทางหลับได้เด็ดขาด

ลองนึกดูว่า นอนบนฟูกนุ่มๆ หมอนนุ่มๆ ผ้าห่มหนานุ่ม สบาย ๆ แต่มีใครก็ไม่รู้ มาคอยผลัก ซ้ายที ขวาที กลิ้งไป กลิ้งมาทั้งคืน ถ้าหลับได้ก็บ้าแล้ว. ฮิ..ฮิ.

เมื่อคืนที่ผ่านมา ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เพราะอาจจะยังไม่ชินกับสภาพการนอนแบบนั้นหรืออาจจะกังวลอะไรสักอย่างอยู่ลึกๆ ก็ไม่แน่ใจ ตอนดึก ผมลุกไปนั่ง ยองยองฉี่ ข้างกราบเรือหนหนึ่ง มืดมากๆ มองเห็นเฉพาะน้ำที่แตกกระจายเป็นฟองขาว เมื่อกระทบกับข้างลำเรือ เสียวๆ ว่าจะหล่นจ๋อม ลงไปเหมือนกัน

เออ..! แล้วทำไม.? ไม่ลงไปเข้าห้องน้ำล่ะ ห้องน้ำออกสบาย ท่านอาจจะสงสัย?
มันค่อนข้างยุ่งยากพอสมควรครับ ท่านผู้ชม เพราะว่า..

1.ต้องเปิด ฝาครอบบันไดลงไป ซึ่งจะทำให้เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมารบกวนคนอื่นๆ ที่กำลังหลับ(หรืออาจจะไม่หลับ)

2.แสงไฟจากห้องเครื่อง จะสว่างขึ้นมารบกวนคนอื่นๆ ที่กำลังนอนและเข้าตาคนถือท้ายด้วย (การแล่นเรือกลางคืนต้องปิดไฟหมด เปิดเฉพาะไฟแล่นเรือ แดง เขียว ซ้ายขวาและไฟเสากระโดงเท่านั้น)

3.ลงไปแล้ว จะต้องเดินอ้อมหรือข้ามห้องเครื่อง ที่เปิดฝาครอบเอาไว้เพื่อระบายความร้อน

สรุปว่า มันเป็นการยุ่งยากมากทีเดียวและยังมีเหตุผลอื่นที่สนับสนุนให้ผมทำแบบนั้น คือเห็นคนอื่นๆ เขาก็นั่งเยี่ยว ยืนเยี่ยว ตามข้างแคมเรือนั่นแหละ (แต่ไม่มีใครนั่งขี้ท้ายเรือเหมือนลูกเรือประมง) ผมก็เลยเอามั่ง รู้สึกว่าจะมักง่ายดี แฮะ แฮะ.
---------------------------------
ยุทธ ปิดไฟเดินเรือ ปิดไฟเสากระโดง เมื่อฟ้าสว่าง ผมลุกขึ้นอย่างเพลียๆ เก็บที่นอนวางแอบๆไว้บนดาดฟ้าเหมือนคนอื่นๆ (อีกแล้ว) ต่อจากนั้นก็ลงไปที่ห้องนอน ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จสรรพ ประมาณ 6โมงเศษๆ จัดการชงกาแฟ 2 ถ้วย เผื่อ บังหมาน ที่เพิ่งลุกมาเข้าเวรถือท้ายต่อจาก ยุทธ ตอน 6 โมง

บังหมาน รับถ้วยกาแฟจากผม ด้วยความเกรงใจ และบอกว่า “ทีหลัง พี่สาม ไม่ต้องชงให้หรอก เพราะ พี่สาม เหมือนแขก วี.ไอ.พี.” ว่าเข้าไปนั่น เล่นเอาผมเขินไปเลย “เอาว่ะ พี ก็ พี” เด็กมันให้เกียรติ ในความอาวุโส ก็ดีเหมือนกัน ซึ่งวันต่อๆมา ตลอด การเดินทาง ไม่มีใครยอมให้ผมเข้าครัวทำอาหารสักมื้อเดียว(อาจจะไม่เชื่อว่าผมทำกับข้าวให้คนกินได้)หรือแม้แต่จะยกกับข้าวมาวางกินกัน ยกเว้นถ้าผมหิวผิดเวลาล่ำเวลา ผมก็ต้องเข้าครัวหากินเอาเอง (ผิดเวลา ใครมันจะบ้า ยกมาประเคนให้เล่าจริงมั๊ย พี่น้อง ) เป็นอันว่า ผมได้รับสิทธิเท่า กัปตันไก่ ทีเดียวเชียว ไม่ใช่เล่นๆ นา ท่านผู้ชม .

ได้จังหวะเหมาะ ผมเลยถือโอกาสคุยกับ บังหมาน ซอกแซกถามเรื่องส่วนตัว นิดๆหน่อยๆ

ได้ความว่า บังหมาน เป็น คนอิสลาม อยู่บ้านไม้ขาวภูเก็ตนั่นเอง อายุ 30 เศษ เคยมีครอบครัว มีลูกสองคน แต่แยกทางกันมาประมาณปีกว่า ตอนนี้ บังหมาน ก็เลยเป็นโสด แต่กำลังมี กิ๊ก

ผมขยักไว้แค่นั้น ชวนคุยเรื่อง สัพเพเหระ เรื่อยเปื่อย คนอื่นๆ ทยอยตื่น ลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัว ตามห้องของตนเอง แล้วก็หาอาหารเช้ากินกัน

ปกติตอนเช้าไม่มีการทำกับข้าว ใครอยากจะกินอะไร ทำกันเอาเอง ส่วนใหญ่ ก็เป็น กาแฟ ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอกไก่ (ไม่มีแฮมเบอเกอร์ครับ เพราะบนเรือ มีอิสลาม4 พุทธ2) แบบที่ ฝรั่ง เขากินกัน ข้าวเช้าจะกินกัน ประมาณ 10 หรือ 11 โมง บางวัน ก็เลยเที่ยง ซึ่งก็แล้วแต่เหตุการณ์


ถือท้ายเป็นครั้งที่2 ของการเดินทาง 2ชั่วโมงเต็มเท่าคนอื่นๆ ทีมงานช่วยกันลุ้นเต็มที่
และจะเห็นที่นอนของพวกเรา วางซุกอยู่ใต้โต๊ะกินข้าวด้านหลัง
---------------------------------------
พอ 8 โมงเช้า ผมได้เป็นกัปตันอีกครั้ง (เว่อร์อีกแล้ว แค่รับเวรถือท้ายเท่านั้น) ต่อจากบังหมาน ซึ่งก็ถอยไปนั่งลุ้นอยู่ข้างๆ

ส่วน กัปตันไก่ นั่งเป็นพี่เลี้ยงอยู่ด้านหลังเหมือนเดิม ประเภทติวเข้ม คุมแจ กลัวผมพลาด คงต้องเสียหน้าไม่น้อย เพราะคุยใว้เยอะ

ผมถือท้ายได้สักพัก เมื่อได้โอกาสผมหันไปถามว่า “เรามาถึงไหนกันแล้ว?” ได้รับคำตอบจาก กัปตันไก่ ว่า เรือแล่นอยู่ระหว่าง อำเภอท่าศาลา กับ อำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช (แล่นมาทั้งคืน มาได้แค่นี้เอง)

 อ้อ..หน้าบ้านเรานี่เอง ท่านผู้อ่านอาจจะยังไม่รู้ว่า ผมกับกัปตันไก่ บ้านเดิม อยู่ที่ เขามหาชัย (คนภูเขาแท้ๆ ไม่มีเลือดทะเลสักหยด) ติดกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อำเภอเมือง แต่มีเขตติดต่อกับ อำเภอพรหมคีรี และ อำเภอท่าศาลา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ บังใจ อีกคน ( บังใจ เป็นคนพุทธ เกิดที่ อำเภอท่าศาลา แต่ไปมีเมีย อิสลามภูเก็ต ที่เขาเรียกว่า “เข้าแขก” จึงต้องเรียก บัง ตามธรรมเนียม)

ผมพยายามมองไปทางทิศตะวันตก หวังว่าจะได้เห็น “เขามหาชัย” “ เขากรุงชิง” หรือ “เทือกเขาหลวง” แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเรือเราแล่นอยู่ห่างจากฝั่งมาก จะเห็นก็เพียงทิวสีน้ำเงินรางๆ นิดเดียว พอรู้ว่าเป็นแผ่นดิน แต่แยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นภูเขาอะไร.?


บังใจ ถือท้ายต่อจากผู้เขียน
--------------

จนกระทั่ง 10 โมงเช้า บังใจ จึงเข้ามารับช่วงถือท้ายต่อจากผม ส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง เช้านี้ คุณบันเทิง เข้าครัวเป็นเชฟ

นั่นคือทีมเวิร์คของพวกเขา ส่วนผมเป็นได้แค่คนถ่ายรูป
--------------------------

พวกเรา กินข้าวเช้ากันเกือบ 11 โมง มีแพนงเนื้อเป็นตัวชูโรง จากฝีมือของคุณบันเทิง เสร็จจากกินข้าว ต่างคนต่างก็อยู่คนล่ะมุม ผมได้หนังสือ “คู่สร้าง-คู่สม” ฉบับเก่าๆ ของปีก่อน ยับยู่ยี่ ไม่แน่ใจว่า จะเป็นคุณ บันเทิง หรือใครสักคน เอาติดมา 5-6 เล่ม พอได้อ่านแก้เซ็ง พอหนังท้องตึง ลมเย็นๆ เรือโคลงพอประมาณว่านอนเปลยวน หนังตาหย่อน คุณเอ๋ย หลับไม่ทันรู้ตัวจริงๆ

ผมตื่นมาอีกที เกือบบ่าย 2 ดวงอาทิตย์ไปอยู่ทางตะวันตกของกราบเรือ รู้สึกหิวและเพลียนิดหน่อย อาจจะเพราะนอนตากแดดหรือหลับกลางวัน ก็ไม่แน่ใจ

ลุกขึ้นมานั่งสูบบุหรี่ หมดมวน จึงลงไปในครัว ตักเข้าราดแกง พะแนงเนื้อที่เหลือจากเมื้อเช้า แล้วขึ้นมานั่งกินบนดาดฟ้า จานเดียวพออิ่ม เมื้อกลางวันไม่มีการตั้งวง ใครหิวหากินเอาเอง ตามความพอใจ

เสร็จเรียบร้อย โรงเรียน " พี่สาม " มานั่งคุยกับพรรคพวก บนดาดฟ้า เริ่มจะมองเห็น เรือลำใหญ่ๆ แล่นอยู่ไกลลิบๆบ้างแล้ว กัปตันไก่ บอกผมว่า เรากำลังใกล้จะถึง ปากน้ำทะเลสาบสงขลา


เข้าเขตสงขลา เริ่มมองเห็นเรือสินค้าแล่นอยู่ลิบๆ
--------------------------- 

และเมื่อเรือแล่นมาซักพัก ผมก็เริ่มเห็น เกาะหนู, เกาะแมว ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา
ขณะนั้นประมาณ 4 โมงกว่า มองเห็นกระโจมไฟ ปากร่องน้ำทะเลสาบสงขลา อยู่ด้านหัวเรือ เยื้องไปทางขวามือ

กัปตันไก่ เข้าทำหน้าที่ถือท้ายเอง นำเรืออ้อมกระโจมไฟ เข้าร่องน้ำ แล่นผ่านเรือบรรทุกน้ำมัน เรือสินค้า ที่จอดทิ้งสมอ รอเทียบท่าอยู่หลายลำและที่แล่นสวนออกมา ก็หลายลำ


กำลังแล่นเข้าปากน้ำทะเลสาบสงขลา
--------------------------

ขณะนั้นเป็นช่วงน้ำลง เรือแล่นทวนน้ำเข้าไปได้อย่างช้าๆ ต้องระมัดระวังมาก ผิดร่องน้ำนิดเดียว มีสิทธิ เป๋ไปฟาดกับเรือเหล็กลำโตๆนั่นเข้า เรือยอช์ทลำหรูก็จะได้กลายเป็นเศษไม้ไปในพริบตา


เยื้องหัวเรือด้านขวาเป็นท่าเรือน้ำลึกสงขลา
---------------------
เกือบ 6 โมงเย็น อากาศเริ่มปิด ฝนลงปรอยๆ ขณะที่มาถึงท่าเทียบเรือสงขลา

ที่ท่าฯ มีเรือทัวร์ดำน้ำ (Tour Diving) สองชั้น จอดเทียบกันอยู่ก่อนแล้ว 2 ลำ

กัปตันไก่ นำกราบซ้ายเรือเข้าไปจอดเทียบกับกราบขวาของเรือลำนอก คนบนเรือทัวร์ Diving รับเชือกจาก บังใจ ที่โยนไปให้ เขารับเชือกแล้วผูกให้เสร็จเรียบร้อย(เป็นธรรมเนียมของคนเรือ ที่มีน้ำใจ ผูกเชือกและแก้เชือกให้แก่กัน)  แล้วถาม บังใจ ว่า "จะไปไหน?” เขาคงเคยเห็นเรือ "สุวรรณมัจฉา" ลำนี้ ทำทัวร์อยู่ที่ เกาะสมุย

บังใจ ตอบว่า “จะไป ภูเก็ต” ส่วนเขาบอกว่าจะไปภูเก็ตเหมือนกัน บังใจ บอกผมว่าปกติเรือ 2 ลำนี้ ทำทัวร์ดำน้ำ (Tour Diving) อยู่แถวๆ เกาะเต่า และ หมู่เกาะอ่างทอง แต่พอฝั่งนี้ เป็นหน้ามรสุม เขาก็จะนำเรือไปภูเก็ต เพื่อทำ Tour Diving ที่หมู่ เกาะสิมิลั และหมู่เกาะสุรินทร์ ทางฝั่ง ทะเลอันดามัน เหมือนกัน

หลังจากที่เรือเทียบอยู่ตรงนั้นสักพัก ยังไม่ทันดับเครื่องยนต์ กัปตันไก่ พูดกับทุกคนดังๆว่า "จะย้ายที่เทียบเรือ" แล้วบอกเหตุผลกับทุกคนว่า จอดเทียบตรงนี้เวลาจะขึ้นบก จะลำบากมาก เพราะต้องปีนขึ้นชั้นสอง ของเรือทัวร์ Diving ลำที่ติดกันและจะต้องข้ามไปอีกลำ แล้วปีนลงไปที่กราบเรือ จึงจะขึ้นท่าเรือได้ ถ้าย้ายไปเทียบกับ ร้านอาหาร ลอยน้ำ ที่อยู่ถัดไปทางด้านท้ายเรือทัวร์ จะติดกับท่าเทียบเรือมากกว่า ระดับก็ต่ำกว่ากราบเรือยอช์ท จะสะดวกเวลาขึ้น-ลงและเข้าใจว่าร้านอาหารก็ไม่ได้เปิดให้บริการ (ผมนึกเสียดายขึ้นมาทันที)ทุกคนเห็นด้วยและเตรียมออกเรืออีกครั้ง

บังใจ จึงจัดการแก้เชือก ผลักหัวเรือออก ขณะนั้นน้ำกำลังลงและไหลเชี่ยวมาก

กัปตันไก่ เร่งเครื่องเดินหน้าเต็มที่ แล่นทวนน้ำขึ้นไปนิดหน่อย แล้วเบนหัวเรือ ออกขวาให้ไหลตามน้ำ แล้วจะตีวงเลี้ยวขวากลับลำ เพื่อเอาหัวเรือทวนน้ำอีกที จะได้เอากราบซ้ายของเรือเข้าเทียบร้านอาหาร

แต่น้ำที่ไหลมาจาก ทะเลสาบสงขลาออกสู่ทะเล กำลังเชี่ยวมาก แทนที่เรือจะเลี้ยวขวาทวนน้ำ กลับไหลตามน้ำ ไปเรื่อยๆ ทีล่ะนิด ทีล่ะนิดและที่หัวเรือห่างออกไป ไม่เกิน 100 เมตร มี “โป๊ะดักจับปลา” ของชาวบ้าน ขวางอยู่ ในรัศมีพอดีเป๊ะ

กัปตันไก่ เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วผลักคันเร่งไปจนชนฝาครอบ แต่เรือก็ยังไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ เพราะกำลังเครื่องยนต์สู้ความเชี่ยวของน้ำไม่ได้

ขณะเวลานั้น บังใจ กับ ยุทธ อยู่กราบซ้าย คุณบันเทิงอยู่กราบขวา ส่วนบังหมาน นั่งดูอยู่บนโต๊ะกินข้าวหลัง กัปตันไก่ ทุกคนเงียบกริบและกำลังจ้องเป็นตาเดียวไปที่ “โป๊ะจับปลา”นั่น ทีละนิด ทีละนิด

ผมยืนใจเต้นระทึกอยู่เยื้องๆ ด้านหลัง "กัปตันไก่" สังเกตสถานการณ์ตลอดเวลา และคิดอยู่ว่า ถ้าปล่อยให้เรือไหลตามน้ำไปเรื่อยๆแบบนี้โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง อีกไม่กี่นาที ได้ชนโป๊ะจับปลานั่น วินาศสันตะโรแน่ๆและคงต้องเอวัง จบการเดินทางกันแค่สงขลานี่แหละ

ในภาพจะเห็นแนวโป๊ะทางขวามือ ภาพนี้ถ่ายตอนออกจากท่าสงขลา วันที่ 20 ก.ย.51
---------------------------------

อีกไม่เกิน 30 เมตร หัวเรือก็จะถึง “โป๊ะ” นั่น กัปตันไก่ ก็ใจเย็นเป็นบ้า หันไปถาม บังหมาน ด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา ที่นั่งอมยิ้มไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่บนโต๊ะด้านหลังนั่นแหละ ว่า“พอจะทำให้เครื่องยนต์เพิ่มกำลังขึ้นได้อีกสักนิดมั๊ย”

"บังหมา..น." ไม่ตอบ แต่ลงจากโต๊ะ เดินมาเปิดฝาครอบสำหรับล็อคคันเร่ง แล้วผลักคันเร่งไปข้างหน้าจนสุด เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเพิ่มขึ้นอีก เรือสะท้านไปทั้งลำและเริ่มขยับถอยหลังทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งได้ระยะห่างจาก “โป๊ะ”พอสมควร กัปตันไก่ จึงเดินหน้าตีวงเลี้ยวขวาแล่นทวนน้ำขึ้นไปได้
ผมถอนหายใจโล่งอก หันไปดูทางท้ายเรือ เห็นห่างจากโป๊ะ ไม่ถึง 30 เมตร เวรเอ้ย...ดูมันเล่นกัน.!

ไม่กี่นาทีต่อมา เรือก็เทียบกับร้านอาหารเรียบร้อย เมื่อท้องฟ้ามืดสนิทพอดี ไฟแสงจันทรบนท่าเรือเริ่มส่องสว่าง

บังหมาน ปิดฝาครอบ คันเร่งไว้เหมือนเดิม แล้วหันมาพูดกับ กัปตันไก่ ยิ้มๆ ว่า ล็อคนี้ไว้ใช้เมื่อจำเป็น ใช้วิ่งไม่ได้ เครื่องจะโอเวอร์โหลด และพังเอาง่ายๆ กัปตันไก่ พยักหน้าเข้าใจ ไม่มีอารมณ์อะไร

แล้วพูดยิ้มๆว่า “กูนึกแล้ว เห็นมึงนั่งยิ้มเฉย” แสดงว่าพวกนี้รู้ทันกัน จึงไม่มีใครตื่นเต้นกันเลย มีแต่ผมที่ตื่นเต้นอยู่คนเดียว เพราะไม่รู้ว่าเขาเล่นสนุกกัน

เฮ้อ..กูจะบ้า มาแค่นี้ยังเจอแบบนี้ กว่าจะถึงภูเก็ตยังไม่รู้ว่าพวกมันจะเล่นอะไรบ้าๆกันอีกสักเท่าไหร่..

พักใหญ่ หลังจากที่รอให้เครื่องยนต์ ลดอุณหภูมิความร้อนลง กัปตันไก่ ก็ดับเครื่องยนต์ บังใจเข้าครัว
คนอื่นต่างแยกย้ายกันไปทำภาระกิจของตัวเอง ตามหน้าที่ ส่วนผมตั้งใจลงไปอาบน้ำสักที

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็พร้อมกันบนดาดฟ้าอีกครั้ง ตั้งวงเรียกน้ำย่อย ก่อนมื้อค่ำ ยกเว้น บังใจ กับ คุณ บันเทิง ไม่ยุ่งกับแอลกอฮอล์ สองคนนี้เป็น พุทธ แต่ได้เมียอิสลาม(เข้าแขก)ก็เลยเคร่งมาก
ส่วนบังหมาน ที่เป็นอิสลามแท้ๆ กินกับผมได้ทุกวัน สุดยอดแขกจริงๆ.

เป็นอันว่า คืนที่ 2 ของการเดินทางเรานอน สูดกลิ่นไอของจังหวัดสงขลากลางฝนพรำ โดยไม่ได้ขึ้นบกไปไหน รอดวงอาทิตย์วันรุ่งขึ้น เพื่อ “ลุยทะเลโหด”ต่อไป ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะต้องพบกับอะไรอีก ตามระยะทาง ที่ยังยาวไกล

พบกันใหม่ตอนหน้า สวัสดี

ชำนาญ ณ.อันดามัน

-----------------------------------------------------------

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

วันแรกของการ "ลุยทะเลโหด" สมุย-สงขลา(18 ก.ย.51)

"สุวรรณมัจฉา" ที่พาพวกเรา ล่อง แล่น ลุย "ทะเลโหด"
18 กันยายน 2551 พวกเรา ทั้ง 6 คน ตื่น กันตั้งแต่เช้ามืด อากาศสดใส ดีมาก ทำให้ทุกคนสดชื่น กระปรี้ กระเปร่า ไม่มีใครมีอาการแฮ้งค์ จากการจัดหนักเมื่อคืน เป็นธรรมดาของลูกทะเล ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ยกเว้น ผู้เขียน อายุเกินครึ่งศตวรรษ (ใครๆก็ต้องเรียก พี่สาม ฮ้า..ฮ้า)

ผู้เขียน ดูจะกลมกลืนจนแยกไม่ออกว่า ไทย หรือ โจรสลัด
หน้าตา ของ "พี่สาม" และ ทีมเดนตาย ที่เหมือนโจรสลัด ช่องแคบ มะละกา ไม่มีผิด
ภาพนี้ถ่ายที่ เกาะเล็กๆ เขตรัฐตรังกานู มาเลย์เซีย ตอนเย็นวันที่ 4 ของการเดินทาง
------------------------------

จากการ ได้สังสรรค์ เสวนากันเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมพอจะสรุปได้คร่าวๆ ว่าใคร? ทำหน้าที่อะไรกันบ้าง? ขอแนะนำกันพอเป็นสังเขป น่ะครับ.



ทีมงาน "ลุยทะเลโหด"

กัปตันไก่ กับมาดกวนๆ
1. กัปตันไก่ ทำหน้าที่ กำหนดแผนการเดินเรือ เส้นทางเดินเรือ นำเรือออกจากท่า และ เทียบท่า

2. คุณบันเทิง ทำหน้าที่ เป็นต้นเรือ รับผิดชอบอุปกรณ์การใช้งานภายในเรือ

3. บังหมาน ทำหน้าที่ ช่างเครื่อง ที่ 1

4. ยุทธ ทำหน้าที่ ทั่วไปและช่างเครื่อง ที่ 2

5. บังใจ ทำหน้าที่ทั่วไป

6. ชำนาญ ณ.อันดามัน (พี่สาม)ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ฮ้า...

----------------------------------------
กฎ กติกา มารยาท ขณะอยู่บนเรือ

• ทุกคนทำหน้าที่ ถือท้ายเรือ ผลัดล่ะ 2 ชั่วโมง ผมเองก็ไม่ยกเว้น (เอาล่ะว่ะ ได้ชนกับเครื่องบิน วินาศสันตะโรมั่งหล่ะ เที่ยวนี้)

• กุ๊ก ทำอาหาร ใครก็ได้ ไม่เกี่ยง

• กรณี มีเหตุฉุกเฉิน เช่นเรือโดนพายุ คลื่นลมแรง ทุกคน ต้องทำหน้าที่ช่วยเหลือกันทุกตำแหน่ง
และห้ามกลัว (ข้อนี้ผมตั้งเอง ใช้ส่วนตัว อิ อิ..)

...แนะนำ กันเสร็จสรรพ พร้อมกฎ กติกา มารยาท (ซึ่งยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย จะเล่าเป็นระยะๆ) ดำเนินเดินเรื่องกันต่อไป
------------------------------------

ดำเนินเรื่องต่อไป

หลังจากล้างหน้า ล้างตา กินกาแฟ และวางแผน กันว่าให้ กัปตันไก่, บังใจและผม(ผู้เขียน) ไปหาซื้อเบ็ดตกปลา และ เหยื่อปลอม ในตลาดเกาะสมุย (คันเบ็ด,เบ็ดและสายเบ็ดมีอยู่แล้ว) ถามว่า ทำไมผมจะต้องไปด้วย ? เพราะผมต้องขับรถ ที่จะเช่าเอาบนฝั่ง ตรงทางเข้าท่าจอดเรือนั่นแหละ (คนอื่นไม่มีใบขับขี่เพื่อเช่ารถ) ส่วน บังหมาน กับ คุณบันเทิง ไปหาซื้อ เสบียง อาหาร ของใช้จำเป็นเพิ่มเติม และที่ขาดไม่ได้คือ วิสกี้กับโซดา(คอทองแดงทั้งนั้น) ส่วน ยุทธ รับหน้าที่ทำอาหารไว้รอพวกเรากลับมากินพร้อมกัน

จนกระทั่งเกือบเที่ยงทุกคนก็กลับมาถึงเรือพร้อมกับของที่ต้องการครบถ้วน จึงได้ร่วมวงกินข้าวเช้า พร้อมๆไปกับการพูดคุย วางแผนการออกเดินทางของวันแรกนี้ 4 คน (ยกเว้นผมเพราะไม่รู้เรื่อง ฮิ.ฮิ.)

ทุกคนลงความเห็นว่า กินข้าวเสร็จก็ออกเรือได้ทันที(ประชาธิปไตยนิดหน่อย) แต่ กับตันไก่บอกว่า ให้รอ ช่วงบ่ายๆ เพราะต้องรอการโอนเงินค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง ซึ่งจะโอนมาจากผู้ว่าจ้างต้นทางภูเก็ต(อันนี้เผด็จการชัดๆ)

เป็นอันว่ากินข้าวเสร็จ ทุกคนเอกเขนกอยู่ในเรือเพื่อรอเวลา ด้วยอาการปกติของพวกเขา ส่วนผมมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อย มากไม่ได้กลัวเสียฟอร์ม ฮ้า.

บ่ายสองโมงเศษ กัปตันไก่ โทรสอบถามทางภูเก็ต เรื่องเงินค่าน้ำมัน ปรากฏว่ายังไม่ได้โอน เพราะมีเหตุขัดข้องทางเทคนิคบางประการ กัปตันไก่จึงแจ้งให้ทุกคนรับรู้และเปลี่ยนแผน ไปรับโอนที่จังหวัด สงขลาในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับบอกทุกคนให้เตรียมตัวออกเรือ

-----------------------------------

บ่าย 3 โมงตรง วันที่ 18 กันยาน 2551

 ฤกษ์งาม ยามดี เรือสุวรรณมัจฉา ก็หลุดจากพันธนาการของเชือกเส้นสุดท้ายที่ผูกหัวเรือ เดินเครื่องเบาๆ นำ 6 ชีวิตแล่นออกจากท่าเรือ เพ็ชรรัตน์ ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี อย่างอ้อยสร้อย เอื่อยเฉื่อย เหมือนอาลัยอาวรณ์และไม่อยากออกไปผจญกับความร้ายกาจที่รออยู่ข้างหน้า หลังจากมาตรากตรำรับใช้นักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ หกเดือนเต็ม เป็นการเริ่มต้น “ลุยทะเลโหด” ณ บัดนั้น.

ท่าเรือเพชรรัตน์ เมื่อบ่ายวันที่ 18 กันยายน 2551 อากาศสดใส ทัศนวิสัยงดงาม
ท่าเรือเพ็ชรัตน์ อ่าวบ่อผุดอยู่ทางด้านทิศเหนือของ เกาะสมุย (ดูแผนที่ประกอบ) กัปตันไก่ พล็อตเข็มมุ่งหน้าขึ้นเหนือก่อนเป็นพล็อตแรก

แผนที่เกาะสมุย

ด้านหลังของพระใหญ่ ที่อ่าวบ่อผุด เมื่อมองจากทะเล
อ่าวบ่อผุด เต็มไปด้วยโรงแรม รีสอร์ทหรูหรามากมาย
เมื่อเรือแล่นออกจากท่า มาได้ประมาณ 1 ชั่วโมง กำลังจะผ่านพระใหญ่ มีเสียงหวีดดดด..ยาว คล้ายๆ สัญญาณเตือนภัย มาจากส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือ(ซึ่งผมไม่รู้) กัปตันไก่ ลดความเร็ว ปลดเกียร์ ปล่อยให้เรือแล่นไปด้วยแรงเฉื่อย จากนั้นหันไปถาม บังหมาน(ช่างเครื่อง) ว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”

บังหมาน ตอบกลับมา แบบหน้ายิ้มๆ (ตามบุคลิก)ว่า “ยังไม่รู้ ขอลงไปดูในห้องเครื่องก่อน” เดินลงไปเปิดฝาห้องเครื่อง ดูโน่น ดูนั่น ประมาณ 1-2 นาที จึงโผล่ขึ้นมาตะโกนบอกให้ กัปตันไก่ดับเครื่องยนต์ เสียงหวีด จึงได้หยุดดัง

บังหมาน รายงานขึ้นมาว่า ท่อน้ำสำหรับระบายความร้อนเครื่องยนต์มันตัน (หมายเหตุ จากผู้เขียน.. เรือที่ใช้เครื่องยนต์ ต้องมีท่อดูดน้ำจากทะเลเข้ามาหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์เพื่อระบายความร้อน ถ้าไม่มีน้ำระบายความร้อน เครื่องยนต์จะร้อนเกินพิกัดและเครื่องยนต์พังทันที) นั่นคือสาเหตุ ที่ทำให้มีเสียง หวีดดด เป็นสัญญาณเตือน

ผมคิดอยู่ในใจว่า เอาล่ะสิ.! ดูท่า การเดินทางครั้งนี้จะไม่ โสภาสถาพร เสียแล้วสิ แค่เรือออกจากท่ามาได้ชั่วโมงเดียว ต้องลอย เท้งเต้งซะแล้ว ยังเหลือระยะทางอีกเป็นพันไมล์ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง จะต้องลอยเท้งเต้ง อีกกี่ครั้ง และจะมีโอกาสลอยไปโดยไม่มีทิศทางหรือไม่? คิดแล้วเสียว.!

ผมเริ่มท่อง คาถา”หลวงปู่ทวด” ทันที “ นะโม โพธิสัตโต อะคันติมายะ อิติ ภควา” ท่องไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนดว่า กี่ร้อย กี่พันครั้ง “นะโม โพธิสัตโตฯ.....”

เริ่มเรียกน้ำย่อย แล้วล่ะครับท่านๆ มิตรรัก นักชม ติดตามกันต่อไป ว่าจะมีเมนูอะไร ทยอยออกมาเสิร์ฟ ให้ได้ลิ้มรส เผ็ด ร้อน เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กันบ้าง ได้หรอยจังหูกันหละ พ่อแม่ พี่น้อง เหอ..


ช่างเครื่องที่1 บังหมาน

กับช่างเครื่องที่2 ยุทธ
บังหมาน กับ ยุทธ ก้มๆ เงยๆ คลายๆ ขันๆ น๊อตต่างๆ อยู่ที่เครื่องยนต์ ประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ (ขณะที่เรือก็ลอยตามคลื่นไปเรื่อยๆ) จึงตะโกนบอกให้ กัปตันไก่ติดเครื่องยนต์

ไม่มีเสียงหวีด เสียงเครื่องยนต์ดังปกติ บังหมาน ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องขึ้นมาว่า OK ไปได้..

กัปตันไก่ เข้าเกียร์ เร่งเครื่อง หันหัวเรือหาทิศทาง แล้วค่อยๆเร่งจนได้ระดับความเร็วเดินหน้าเต็มที่ (5 น๊อตเท่านั้น ฮ้า.) ...ผมสังเกตดูทุกคนอาการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น นี่..พวกมันจะรู้สึกตื่นเต้นกันบ้างตอนๆไหนว่ะ.. สงสัยจริงๆ..


พระใหญ่ ไกลออกมาทุกที

กัปตันไก่ ถือท้ายขึ้นเหนือ แล้วค่อยๆเลี้ยวขวา อ้อมแหลมสำโรง ผ่านหาดเชิงมน อ่าวเฉวงใหญ่ กระทั่งประมาณ 5 โมงเย็น หัวเรือมุ่งหน้าลงใต้ จึงพล็อตเข็มไปที่จังหวัดสงขลา
กัปตันไก่บอกว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคงถึงสงขลาตอนเย็นๆ ของวันรุ่งขึ้น

จากนั้นหันมาบอกให้ผมทดลองถือท้ายเรือ เพราะเห็นว่าทัศนวิสัยดี ไม่มีคลื่น และทะเลกว้าง (เหตุผล บ้าๆ ทะเล มันก็กว้างอยู่แล้วเพ่) ส่วนตัวกัปตันไก่ ทำการตั้งค่า GPS ให้ตรงกับแผนที่(ซึ่งมีอยู่แผ่นเดียวกับการเดินทางครั้งนี้) และเข็มทิศเดินเรือ และแนะนำผมถึงวิธีการถือท้ายเรือ กับการดู GPS กระทั่งผมเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แล้วหมอก็ลงนอนเขลงอยู่ข้างหลังผม ปล่อยให้ผมถือท้าย เป๋ไป เป๋มา เหมือนคนเมาเหล้าขาว

 เป็นพักๆ จะผงกหัวขึ้นมาดูทิศทางสักที พอเห็นว่าทะเลยังกว้างก็เอนหลังต่อ เฮ้อ..ทะเลมันกว้าง จริงๆครับพี่น้อง เพราะเมื่อผมหันไปมองด้านหลัง เกาะสมุยที่เคยเห็นอยู่ด้านท้ายเรือมันหายไปแล้ว.!.

ถือท้ายเป็นครั้งแรก เกร็งไปทั้งตัว กลัวจะชนกับเครื่องบิน ฮา ฮา กัปตันไก่ นอนเขลงอยู่ข้างๆ
ส่วนคนอื่นๆ บังใจ กำลังเตรียมเบ็ดและเหยื่อปลาหมึกปลอม ตัวเท่าข้อมือที่เพิ่งซื้อ มาจากตลาดเกาะสมุยเมื่อเช้า เพื่อปล่อยลงน้ำให้เรือลากไปเรื่อยๆ(Trolling) เผื่อจะมีปลาโง่ๆ ซักตัวมาไล่งับ แล้วจะกลายเป็นอาหารของพวกเรา

คุณบันเทิง ผูกมัด แกนลอนน้ำมันสำรองให้แน่นหนา เก็บเสื้อชูชีพเข้าที่เข้าทางเผื่อหยิบฉวยมาใช้ได้ง่าย ยามฉุกเฉิน

บังหมาน จัดเก็บตรวจสอบเครื่องมือและเครื่องยนต์เพื่อความมั่นใจ ในการเดินทางกลางคืน
ยุทธ รับหน้าที่เป็น กุ๊ก อีกครั้งทำอาหารมื้อแรกของการเดินทาง


กุ๊ก ยุทธ กำลังปรุงอาหารมื้อแรกของวันนี้
ยังเป็นตอนเย็น ของวันที่ 18 ก.ย.51

ผมถือท้ายเรือประมาณ 1 ชั่วโมง บังหมาน ก็มารับช่วงต่อจากผม อาหารเย็นเสร็จพอดี ยุทธ ทะยอยส่งขึ้นมา ตั้งวงบนดาดฟ้า ใกล้ๆ ที่ถือท้ายเรือนั่นแหละ เป็นเวลาที่ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี บรรยากาศบนดาดฟ้าเรือยอช์ท บรรยายไม่ถูกจริงๆ การมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากบนฝั่ง กับการมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากกลางทะเล ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เศร้าสร้อย โหยหาและวาบหวิว อย่างไรบอกไม่ถูก “พรุ่งนี้เรายังจะได้เห็น ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกมั๊ยหนอ.?”

อาทิตย์ลับฟ้า เมื่ออาหารมื้อแรก
อาทิตย์ ลับฟ้า จะโหยหา ถึงใคร ในเมื่อเราไม่มีใคร.?ให้โหยหา.
วันพรุ่ง ยังจะมีโอกาส ได้เห็นดวงอาทิตย์อีกหรือไม่.?ไม่มีใครรู้.
พระเจ้าองค์ไหน บอกได้.? ช่วยบอกที..

ก่อน Dinner (ความจริงกินข้าวมื้อเย็น เขียนให้โก้ๆ เข้าไว้) มีการเรียกน้ำย่อยกันนิดหน่อย พอหอมปาก หอมคอ ได้ยินใครบางคนพูดว่า ถ้าสภาพอากาศเป็นแบบนี้ ตลอดเส้นทางจนถึงภูเก็ตก็คงจะดี ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

อาหารมื้อแรกของการเดินทาง"ลุยทะเลโหด"ก่อนค่ำ เรียบง่ายและเป็นกันเอง
เอ๊ะ.! ใครถือท้ายเรือ อ้อ..บังหมานนั่นเอง มานั่งตักบุฟเฟ่อยู่นั่น ปล่อยให้เรือไปตามยถากรรมเสียงั้นแหละ มั่นใจว่าไม่ชนกับอะไรแน่ๆ (เพราะทะเล มันกว้าง ฮิ ฮิ )

จบ Dinner มื้อนั้น ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัยตามมุมต่างๆ ของเรือ บางคนโทรศัพท์ไปหาคนบนฝั่งบ้าง(โดยเฉพาะบังหมาน ฟังว่ามีกิ๊กคนใหม่) บ้างก็เอนหลังสูบบุหรี่ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามกระแสคลื่น

ส่วนผม ลงไปที่ห้องนอน เพื่อจะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย หลังจากผ่านไอน้ำเค็มมาทั้งวัน

--------------------------------------------------------------------
ขอพาท่านผู้อ่านชมความหรูหรา ของเรือลำนี้ พอเป็นกระษัยครับ


ด้านห้วเรือ
-------------
ลงบันไดมาจากดาดฟ้า หันหน้าไปทางหัวเรือ ขวามือจะเห็นห้องครัว ถัดไปเป็นห้องนอน เรือลำนี้ มีห้องนอนอยู่ตอนหัวเรือ ซ้าย-ขวา 3 ห้อง ตอนท้ายเรือ 2ห้อง รวมเป็น 5 ห้องนอนพร้อมห้องน้ำ การออกแบบพื้นที่ใช้สอยลงตัวพอเหมาะ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไม้สัก สแตนเลส ทองเหลือง สวยงามและคลาสสิคมาก ทางด้านซ้ายมือ จะเป็นเคาเตอร์บาร์และโต๊ะอาหาร แต่ที่เห็นในรูปนี้ กลายเป็นที่เก็บสัมภาระไปแล้วครับ



ห้องนอน วี.ไอ.พี
------------------
หันหลังกลับมาทางท้ายเรือ ด้านกราบซ้ายของเรือ(แต่อยู่ทางขวามือ) เป็นห้องที่ผู้เขียนเลือกไว้เก็บสัมภาระของใช้ส่วนตัว แต่ไม่เคยได้นอน เพราะกัปตันไก่บอกให้ผมนอนบนดาดฟ้า ด้วยเหตุผลว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ต้องติดอยู่ในท้องเรือ เป็นเหตุผลที่ฟังดูแล้วเสียวไปถึงขั้วหัวใจ...

เตียงนอนพอเหมาะกับ 2 คน ผ้าห่ม หมอน ตู้ใส่เสื้อผ้า กระจก ลิ้นชักเก็บของ มีหน้าต่างระบายอากาศ มีพัดลม 2 ตัว (ทุกห้องนอนไม่มีแอร์) ห้องนอนนี้ไม่มีห้องน้ำภายใน


ที่นอน หมอน ผ้าห่ม น่านอนไม่ใช่เล่น
------------------


 ห้องน้ำ
---------
เป็นยังไงครับท่านผู้ชม?. อิจฉาผมมั๊ย?.ไม่ต้องอิจฉาผมหรอก เพราะผมไม่เคยได้นอนในขณะที่เรือวิ่งตอนกลางคืนเลย ทำไมหรือครับ? กัปตันไก่ บอกผมว่ากลางคืนมืดๆ มากๆ ถ้าเรือชนกับอะไรเข้าและจมลง เรานอนหลับอยู่ในห้องท้องเรือ กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็สายเกินไป ผมฟังแล้วก็ บรือ..ๆ..ๆไม่นอนดีกว่า..!

นิดๆ หน่อยๆ พอจะจินตนาการออกนะครับ ผมอาบน้ำ อาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดหลวมๆ เพื่อความคล่องตัว เผื่อว่ามี???...ให้คิดเอาเองครับ (เป็นคำแนะนำจาก กัปตันไก่ เหมือนกัน) แล้วผมก็ขึ้นมาบนดาดฟ้า รวมกับพรรคพวกนั่งชมแสงดาวและแสงไฟจากเรือหาปลา ที่อยู่ไกลลิบๆ ทางด้านฝั่ง (เส้นทางเรือของเรา ห่างฝั่งประมาณ 20ไมล์ทะเล) และนอนบนดาดฟ้า เหมือนคนอื่นๆ รอดวงอาทิตย์มาเยือน ในวันรุ่งขึ้น.

...ชำนาญ ณ.อันดามัน

***ติดตาม เรื่องราว "ลุยทะเลโหด" วันที่2 (19 ก.ย. 51) ต่อไปครับ***
------------------------------------------------------------------------