จากความตอนที่แล้ว...เรามาถึงเกาะแตงก์โกล์ เกือบค่ำของวันที่ 23 ก.ย.51 ขณะที่กัปตันไก่ กำลังจะเทียบกับเรือตำรวจน้ำมาเลเซีย เพื่อผูกเชือกหัวเรือ แต่มีคนจากในเรือตำรวจน้ำ บอกว่าห้ามจอดเทียบ กัปตันไก่ จึงได้ถอยเรือออกมา....
ขณะนั้นความมืดคืบคลานเข้ามาทุกที น้ำทะเลกำลังลงอย่างรวดเร็ว ตรงบริเวณนั้นมีทุ่นที่พอจะผูกเรือได้ ดันมีเพียงทุ่นเดียว ไอ้คนหน้าดำๆ ตัวดำๆ ในเรือตำรวจน้ำนั่นก็ไม่ให้ผูกเรือเทียบซะอีก
กัปตันไก่หันมามองหน้าพวกเราทุกคน พร้อมกับพูดออกมาอย่างหัวเสีย แบบตัดสินใจเด็ดขาด
“กูไม่จอดก็ได้ว่ะ! ไปกันต่อเว้ย พวกเรา ไปมันเรื่อยๆ ไม่ต้องจอด ไม่ต้องพักแม่งหรอก”
แล้วก็ดันคันเร่งเครื่องยนต์เต็มที่ หมุนพังงาเรือเลี้ยวซ้ายตีวงแคบ จนเรือเอียงขวาวูบ ผมใจหายวาบ จับขอบโต๊ะกินข้าวไว้ได้ คุณบันเทิง ที่กำลังก้มๆ เงยๆ เก็บเชือกอยู่ที่กราบขวา หัวทิ่มกับแคมเรือ โชคดีที่จับสายสลิงเสากระโดงเอาไว้ทัน ไม่งั้น คงได้ลงไปเล่นน้ำในอ่าวแตงโกลน์แน่
บังใจ บังหมาน ยุทธ ที่ยืนไม่ทันระวังตัว หกคะเมนตีลังกากลิ้งอยู่บนดาดฟ้า
บ๊ะ..ไอ้กัปตันไก่นี่ มันมีลูกบ้าเหมือนกันนิ!..
กัปตันไก่บังคับเรือออกจากอ่าวเกาะแตงโกล์แบบไม่เหลียวแลหลัง ตั้งหัวเรือพล๊อตเข็มแล่นลงใต้ จุดหมายที่ปากช่องแคบสิงค์โป ปลายแหลมมาลายู
นี่แสดงว่าเราจะต้องเดินทางเป็นคืนที่ 2 ติดต่อกัน จากที่ผ่านมาแล้ว 2 วันกับ 1 คืน
ผมภาวนาขออย่าให้เครื่องยนต์พังก่อนถึงแหลมมาลายู ไม่ยังงั้น ข้าวลิงก็ไม่มีจะกิน
ประมาณ 10 นาทีต่อมา เมื่อพวกเราตั้งหลักกันได้ทุกคน
ผมได้ยินเสียงกัปตันไก่ พูดแข่งกับเสียงเครื่องยนต์
"ยุทธ..ทำกับข้าว แล้วทำกับแกล้มเผื่อด้วย!..บังหมาน!.เอาเหล้ามาเปิดกินแก้เซ็งหน่อย"
บังหมาน หันมามองหน้าผม แล้วยักคิ้วแผล็บ!..ประมาณว่า เข้าทางโจร..
ส่วนผม อิอิ..น้ำลายเปรี้ยว จะแกงส้มได้อยู่แล้ว!!....
และแล้ว วงเหล้าแก้เซ็งก็เกิดขึ้น ตรงที่กินข้าวบนดาดฟ้าหลังพังงาเรือตรงนั้น...
ไม่มีใครพูดถึงอนาคตที่พวกเราจะต้องฟันฝ่าต่อไป ภายใต้ความมืดในท้องทะเลอันเวิ้งว้าง
ทุกคนพูดกันแค่เรื่อง ตำรวจน้ำมาเลเซีย ใจเหมือนน้ำทะเล..
แต่ก็ไม่นานหลังจากนั้น ทุกคนทิ้งเรื่องนั้น หันมาพูดคุยกันเรื่องสนุกสนาน ตลกโปกฮา สัปดี้สัปดน สองแง่สองง่าม เล่าเรื่องประสบการณ์การแล่นเรือของแต่ละคนสู่กันฟัง มีเรื่องอำกันบ้าง หยอกล้อกันบ้าง พอหอมปากหอมคอ สุดท้ายก็มาจบที่เรื่องผู้หญิง(จนได้)..
เวลาผ่านไป กระทั่งเหล้าแก้เซ็งหมดไปหนึ่งกลม
เนื้อแดดเดียวทอดและไส้กรอกไก่ทอด หมดไปอย่างละจานใหญ่
พวกเราจึงได้กินข้าวค่ำกัน..
อิ่มหนำสำราญกันดีแล้ว เรือแล่นต่อไปในความมืดของท้องทะเลอันมืดมิด เวิ้งว้างเหมือนไม่มีจุดหมาย
ไม่มีแสงไฟจากเรือประมงหรือเรือใดๆ ให้เห็น ไม่มีแสงไฟจากฝั่ง
มีเพียงแสงดาวบนท้องฟ้า ที่กระทบกับผิวน้ำทะเลแลดูระยิบระยับเหมือนหิ่งห้อยเท่านั้น..
คนที่รับเวรถือท้ายก็ทำหน้าที่ไป คนที่นอนก็นอนไป ที่ไม่นอนก็นั่งมองความมืดในทะเลไป
ทำกิจกรรมอย่างอื่นไม่ได้ เพราะขณะที่เรือแล่นในเวลากลางคืน ต้องดับไฟทุกดวง
เหลือเฉพาะไฟเดินเรือ เขียว แดง ซ้ายขวาและไฟบนยอดเสากระโดง
ส่วนผมหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้ว นั่งสูบบุหรี่ มองความมืดของทะเลเงียบๆอยู่พักใหญ่
จึงได้คลานเข้าหาที่นอนแล้วหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้?...
มาสะดุ้งตื่นเมื่อได้ยินเสียงใคร พูดขึ้นดังๆ "ตื่นเว้ยตื่น มีเรือจะเข้ามาเทียบเรา"
เมื่อผมออกจากผ้าห่มลุกขึ้นนั่ง รู้สึกว่าเรือเราไม่ได้แล่น แต่ลอยลำเบาเครื่องยนต์อยู่กับที่
มองไปที่กราบซ้าย เห็นเงาตะคุ่มๆ ของเรือลำหนึ่ง ขนาดใหญ่กว่าเรือเราพอสมควร
ลอยลำใกล้ๆกับเรือเรา มีแสงไฟสปอตไลท์ส่องเข้ามาที่เรือเรา วูบๆ วาบๆ
ผมได้ยินเสียง กัปตันไก่พูดภาษาอังกฤษกับคนในเรือลำนั้น
พอจับใจความบางตอนว่า "from Koh Samui to Phuket"
"คนในเรือมีกี่คน?" คำถามภาษาอังกฤษแปร่งๆ มาจากเรือลำนั้น
"6 คน ผู้ชายทั้งหมด" กัปตันไก่ตอบไปเป็นภาษาอังกฤษเหมือนเดิม
"แกแน่ใจนะว่า ไม่มีผู้หญิง ไม่มีคนผิดกฏหมายและไม่มีของผิดกฏหมาย!?" เป็นคำพูด หางเสียงแข็งๆและสำเนียงข่มขู่ ของคนเดิม
"ผมแน่ใจครับ" กัปตันไก่ตอบยืนยันกลับไป
"โอ เค.ไปได้ แล่นเรือระมัดระวังด้วย" เป็นคำอนุญาตและตักเตือน
"เยสเซอร์ ขอบคุณ" กัปตันไก่ ตอบกลับไป
แล้วเรือลำนั้นก็เร่งเครื่องแล่นออกไป แต่ยังมีแสงสปอร์ตไลน์ ส่องมาที่เรือเราตั้งแต่หัวจรดท้ายอีกวาบ
ผมเห็น ตัวหนังสือภาษาอังกฤษลางๆ ที่ชูชีพช่วยชีวิตแขวนอยู่ข้างห้องถือท้าย
เขียนว่า ROYAL MALAYSAIN NAVY
ถึงว่า คนในเรือลำนั้นถึงได้พูดสำเนียง ข่มๆขู่ๆนัก
ที่แท้ก็เป็นเรือรบของกองทัพเรือมาเลเซีย คงจะเป็นเรือยามฝั่ง ที่ออกมาลาดตระเวณน่านน้ำ
ตรวจตราพวกเรือโจรสลัด หรือเรือประมงที่ลักลอบเข้ามาจับปลาในเขตหวงห้ามของเขา
โดยเฉพาะเรือประมงของพี่ไทยเรานั่นแหละตัวดี เผลอเป็นไม่ได้เชียวแหละ
ถูกจับติดคุกขี้ไก่ของมาเลย์บ่อยๆ แต่พวกก็ไม่เข็ด
ผมดูเวลาที่นาฬิกาข้อมือ ขณะนั้นเที่ยงคืนกว่า เป็นเวรถือท้ายของคุณบันเทิง
เสียงกัปตันถามคุณบันเทิงว่า "บันเทิงเห็นเรือทหารนั่นตอนไหน?"
"เรือนั่นดับไฟมืดหมด ผมเห็นเมื่อมันจะเข้ามาเทียบเราแล้วกัปตัน"
คุณบันเทิงตอบกัปตัน หางเสียงยังตื่นเต้น
"ตอนแรกเห็น ผมตกใจหมดเลย นึกว่าเป็นเรือโจรสลัด แต่พอมันส่องสปอร์ตไลน์เข้าใส่หน้าผม แล้วบอกให้หยุดเรือ ผมจึงรู้ว่าเป็นเรือทหาร และผมก็เรียกกัปตัน"
คุณบันเทิง บอกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นให้กัปตันและพวกเราฟัง
"แล้วถ้าเป็นเรือโจรสลัด บันเทิงจะทำยังไง?" กัปตันถามคุณบันเทิงแบบไม่จริงจังนัก
"ผมไม่เรียกใครหรอก โดดน้ำหนีเลย เรื่องอะไรจะอยู่ให้มันจับเชือดคอ" คุณบันเทิงตอบจริงจัง
"ไอ้บ้า!..เดี๋ยวกูจับมึงโยนเลตอนนี้เลย" เสียงบังหมาน พูดขึ้นดังๆ
ทุกคนหัวเราะฮา..ลืมเหตุการณ์ความตื่นเต้นที่เพิ่งเกิดขึ้นหมดสิ้น!..
สถานการณ์บนเรือกลับเข้าสู่ความเป็นปกติอย่างรวดเร็ว เหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น
คนพวกนี้หัวใจทำด้วยเหล็กใหลจริงๆ
ทุกคนกลับเข้านอน ที่ใครที่มัน
ผมนั่งสูบบุหรี่ ปล่อยอารมณ์เงียบๆ อยู่ด้านหลังคุณบันเทิง ซึ่งยังทำหน้าที่ถือท้ายต่อไป
กระทั่งหลังจากบุหรี่หมดมวนไปแล้วพักใหญ่จึงได้เสือกตัวลงบนที่นอน...
-------------
เวลาผ่านไปจนฟ้าสาง โดยไม่มีเหตุการณ์ใดๆ เกิดขึ้นอีก..
เช้าวันนี้ ผมรับเวรถือท้ายต่อจากบังใจ
ผมตรวจดู จีพีเอสเทียบกับเข็มทิศเดินเรือ ทิศทางยังมุงสู่ตะวันออกเฉียงใต้นิดๆ
รอบทิศทางบนหน้าจอของจีพีเอส ไม่มีสัญลักษ์ของเกาะหรือเขตน้ำตื้นโชว์ให้เห็น
ท้องฟ้าด้านทิศตะวันออก ปรอดโปร่งแจ่มใส ลมพัดมาอ่อนๆ ทะเลราบเรียบเหมือนแผ่นกระจก
เสียงเครื่องยนต์เรือดังสมำเสมอ ผมสูดอากาศบริสุทธิ์ตอนเช้าจากทะเลหลายเฮือก
รู้สึกสดชื่น สมองปรอดโปร่งผ่อนคลาย
ทุกคน ต่างลุกขึ้นทำภาระกิจของตัวเองเสร็จสิ้น จึงได้มานั่งล้อมวงกันพร้อมหน้าบนดาดฟ้า
โจ้ข้าวต้มปลาจากฝีมือบังใจ ผู้รับหน้าที่เป็นพ่อครัว หลังจากออกเวรถือท้าย...
หลังจากกินข้าวต้มกันเรียบร้อย กัปตันไก่รับหน้าที่ถือท้ายต่อจากผม
กัปตันบอกให้บังหมาน เอาแผนที่เดินเรือ(ที่มีอยู่แผ่นเดียว) ออกมาพล๊อตเส้นทาง
ตั้งเข็มตัดตรงไปยังหัวแหลมมาลายู ก่อนเข้าช่องแคบสิงค์โป
กัปตันบอกว่า ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น คงไม่เกินบ่าย 3 โมงก็จะถึงปากช่องแคบ
บังหมานจัดการกางแผนที่ ลงบนพื้นดาดฟ้า ตรงที่นั่งกินข้าวของพวกเรานั่นแหละ
ทำเป็นโต๊ะแผนที่ เอาไม้บรรทัดที่มีสแกนองศา(ซึ่งมีอยู่อันเดียวเหมือนกัน) หาเส้นรุ้ง เส้นแวง
แล้วใช้ดินสอขีดเส้น(คด)ลากไปทีละนิด ทีละช่อง เพราะไม้บรรทัดมันสั้น มันจึงเป็นเส้นคด
ทำยังไงก็เป็นเส้นตรงไม่ได้...
โดยมีบังใจ ยุทธ คุณบันเทิง นั่งล้อมวงดูด้วยความสนใจ
ในบรรดาลูกเรือของบริษัท 4 คน บังหมาน(ช่างเครื่องยนต์) พอมีความรู้เรื่องแผนที่เดินเรืออยู่บ้าง
ที่เหลือ 3 คนนั่น ไม่มีความรู้เรื่องแผนที่ เรื่องเส้นลองติจูต และเส้นแลตติจูต
แม้แต่นิดเดียว มันเป็นเรื่องเหลือเชื่อ...
สิ่งนี้แหละที่เป็นเหตุผลหลักให้บริษัทจ้างกัปตันไก่ มาเป็นกัปตันนำเรือกลับภูเก็ต
เมื่อได้เส้นแลตติจูต เส้นลองติจูต และขีดลากเส้นเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
บังหมาน ลงมือจดบันทึกลงในสมุดปกแข็ง แทนสมุดปูมเรือ
ซึ่งนัยว่าลืมไว้ที่สำนักงานเกาะสมุยโน่น ไม่ได้เอาลงเรือมาด้วย!?
ผมคิดในใจว่า ไอ้ห่าเอ๊ย..เรือยอช์ทราคาเป็น 10 ล้าน พวกนี้เอามาทำเหมือนเรืออวนลาก
ที่ลากปลาอยู่แถวๆหน้าเกาะลันตาหรือหน้าเกาะตะรุเตา ซะเฉยเลย
แผนที่ก็มีแผ่นเดียว ไม้บรรทัดก็มีอันเดียว วงเวียนก็ไม่มี ยางลบก็ไม่มี
และที่สำคัญ สมุดปูมเดินเรือก็ไม่มี!...
นี่ถ้าเกิดตำรวจน้ำมาเลย์ฯหรือตำรวจน้ำสิงค์โป
มันนึกครึ้มๆ ขอขึ้นมาตรวจเรือ แล้วไม่มีสมุดปูมเดินเรือให้พวกนั้นดู
เป็นได้โดนจับยัดเข้าคุกขี้ไก่กันเป็นแถว ในข้อหาขโมยเรือแน่ๆ
มันเหมือนเรืออวนรุนในทะเลสาบสงขลาจริงๆ...ให้ตายสิ..โรบิ้น
จะมีพอทำให้แล่นในทะเลได้ก็แค่ เข็มทิศเก่าๆอยู่อันหนึ่ง
เครื่องจีพีเอสหน้าจอเปิดมั่ง ดับมั่งอยู่อันหนึ่งและกล้องส่องทางไกลอีกอันหนึ่ง แค่นั้น..
ที่พอจะแสดงให้รู้ว่าเป็นเรือ ไม่ใช่รถบัส!
สู้เรืออวนดำในคลองภูเก็ต ที่มีชาวพม่าเป็นไต๋ยังไม่ได้เลย ผับผ่าสิ..
และถ้าไม่มี 3 อย่างที่ว่านั่น กัปตันไก่ คงจะแล่นกับ ดาวสุก ดาวเสาว์ ดาวลูกไก่
เหมือนเรือสำเภาจีน สมัยเลียดก๊กแหงๆ..
สุดยอดจริงๆ..
หลังจากจดบันทึก จุดและเส้นต่างๆแล้ว บังหมานก็เอามาที่หน้าจอจีพีเอส
เพื่อให้กัปตันไก่ตั้งเข็มพล๊อตอีกต่อหนึ่ง
จึงเป็นที่เรียบร้อย หลังจากนี้ใครถือท้ายก็ได้
ขอให้บังคับหัวเรือ ตรงกับเส้นที่โชว์อยู่หน้าจอจีพีเอส เป็นอันว่าไปได้
อาจจะออกซ้ายบ้าง ขวาบ้าง นิดๆหน่อยๆ
แต่เมื่อบังคับให้กลับมาตรงเส้นเดิมก็ถือว่าไม่หลงไปออกนอกโลก..
ส่วนบังหมาน เมื่อเสร็จสิ้นภาระกิจ ก็ไปนั่งแอ็คชั่นเป็นนายแบบเพล์บอยให้ผมถ่ายรูป
ชีวิตประจำวันบนเรือก็มีเท่านี้ ใครคิดกิจกรรมอะไรได้ ก็ทำไป
เพื่อคลายเครียดและฆ่าเวลาให้หมดไปวันๆ
เวลาแต่ละนาที แต่ละชั่วโมงผ่านไปอย่างเชื่องช้า จากแดดอ่อน เปลี่ยนเป็นแดดจ้า
จากลมอ่อน เปลี่ยนเป็นลมแรง จากทะเลเรียบ เปลี่ยนเป็นคลื่นสูงขึ้น
และจากท้องฟ้าสีครามสดใส เปลี่ยนเป็นมืดครึ้มที่เส้นขอบฟ้า ในทิศทางที่เรือกำลังมุ่งหน้าไป
เมื่อเวลาหลังเที่ยงไม่นาน...และพวกเรายังไม่ได้กินข้าวเที่ยง
เอาอีกแล้ว เจอเข้าอีกจนได้!..
กัปตันไก่ บอกให้ทุกคนเตรียมพร้อมรับสถานการณ์ ที่กำลังใกล้เข้า
ซึ่งยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน?....
แต่..ทุกคนย่อมรู้ดีว่า เวลาแห่งการ "ลุยทะเลโหด" มาถึงอีกครั้งแล้ว....
ทุกคนช่วยกันเก็บอุปกรณ์เครื่องใช้ไม้สอยต่างๆเข้าที่เข้าทาง ผูกรัดมัดตรึงอย่างแน่นหนา
หลังจากนั้นต่างคน ต่างหาที่มั่น เตรียมรับศึกที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ..
แต่ไม่มีใครใส่เสื้อชูชีพแม้แต่คนเดียว...
ไอ้พวกบ้าเอ้ย.. ถ้าพวกมึงไม่ใส่ แล้วกูจะใส่อยู่คนเดียวได้ยังไงว่ะ..
ลมแรงขึ้น พัดพาลูกคลื่นแตกดอกยอดขาวเข้าหาเรือ ฝนเม็ดโตๆ เริ่มซัดกระหน่ำเข้ามา
เมฆดำทะมึนวิ่งเข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว ไม่ต่ำจาก 70 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ท้องฟ้ากลางวัน กลายเป็นกลางคืน
คลื่นแต่ละลูกความสูงไม่ต่ำจาก 3 เมตร
หนุนหัวเรือยกสูงขึ้น แล้วฟาดตูมลงมา ตักน้ำขึ้นท่วมดาดฟ้า ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
บางครั้งหัวเรือมุดหายลงไปใต้ลูกคลื่น ท้ายเรือชี้ขึ้นฟ้าเกือบ 45 องศา
บางครั้งลำเรือเอียงวูบ จนน้ำเข้าทางกราบเรือ
บางครั้งเมื่อคลื่อนสามลูก ซ้าย ขวา หน้า (ที่ชาวเรือเรียกว่าคลื่นสามเส้าและกลัวกันหนักหนา)
โถมเข้ามาพร้อมกัน เรือถึงกับถอยหลัง...
ทุกคนถูกแรงเหวี่ยง ซวนเซไปมา กำหนดทิศทางไม่ได้
กัปตันไก่ต้องใช้เชือกผูกสะเอวยึดกับขาโต๊ะกินข้าวที่อยู่ด้านหลัง
ขณะถือพังงาบังคับทิศทางเรือ
ผมท่องคาถาหลวงปู่ทวด..นโม โพธิสัตโต อะคันติมายะ อิติภควา..ๆๆๆๆๆ..
และต่อจากนั้น...ไม่มีภาพ มาประกอบคำบรรยาย...
ตั้งแต่หลังเที่ยงเป็นต้นมา 3 ชั่วโมงเต็มๆ ที่เรือพาพวกเราลุยฝ่าพายุคลื่นมาอย่างทรหด
กระทั่ง มองเห็นกลุ่มเรือยักษ์ ลอยลำอยู่ลิบๆ คลื่นและลมจึงค่อยๆเบาบาง
แต่ยังมีสายฝนโปรยปรายลงมา
ได้ยินเสียงกัปตันไก่ ที่ยังถือท้ายเรืออยู่ พูดขึ้นว่า
"เรามาถึงปากช่องแคบสิงค์โปแล้ว ทุกคนช่วยกันสำรวจความเสียหายด้วย"
"หมาน มาช่วยถือท้ายหน่อย เหนื่อยฉิบหายเลยว่ะ" ตอนท้ายหันไปพูดกับบังหมาน
เมื่อบังหมานเข้ามาแทนที่ ตัวเองขยับไปนั่งควักบุหรี่ ที่เปียกเกือบทุกมวนออกมาจุดสูบ
บังหมานเข้ามาทำหน้าที่ถือท้าย ค่อยๆ พาเรือเข้าสู่ช่องแคบสิงค์โป
จากการชี้แนะของกัปตันไก่ เป็นระยะ
เมื่อเวลาเกือบ 5 โมงเย็น ผิดตามความคาดหมายของกัปตันไก่ไปเกือบ 2 ชั่วโมง
แต่ไม่มีใครสนใจเรื่องเวลาที่ผิดไป แค่ 2 ชั่วโมง น้อยนิดกับการลุยฝ่าพายุหนักขนาดนั้น
10 ชั่วโมงก็ไม่มีใครบ่น ขอเพียงให้รอดมาได้ก็พอใจแล้ว
เราแล่นเข้าสู่ช่องแคบสิงค์โป ผ่านเรือบรรทุกสินค้าบ้าง เรือน้ำมันบ้าง
ที่ทอดสมอเป็นทิวแถว รอเข้าเทียบท่าที่ไหนสักแห่ง
มีจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ละลำใหญ่โตยังกะเกาะภูเก็ต
เวลา 6 โมงเศษๆ ฝนหาย ลมเงียบ แต่ท้องฟ้ายังครึ้ม
เราเริ่มมองเห็นตัวเมืองและอาคารบ้านเรือน
ที่ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลของประเทศมาเลเซีย
"คืนนี้ เราจะเข้าไปจอดและค้างคืนที่ "ซีบานามารีน่า" พรุ่งนี้จะได้ลงน้ำจืดและเติมน้ำมัน
แล้วจะเข้าไปหาซื้อเสบียงในเมืองที่เราเห็นนั่น"
กัปตันไก่บอกกับทุกคนพร้อมกับชี้มือไปยังเมืองที่มองเห็น
"ซีบาน่ามารีน่า อีกไกลไหมกัปตัน?" บังใจถามขึ้น
"จากนี่ไป ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ต้องแล่นเข้าคลองไปไกลเหมือนกัน"
กัปตันไก่บอก
เมื่อบังใจได้คำตอบ จึงเสนอขึ้นว่า"เราทำกับข้าวกินกันก่อนดีกว่า"
"ก็ดีเหมือนกัน ยังไม่ได้กินข้าวเที่ยงเลย พยาธิบ่นแล้วว่ะ" กับตันไก่เห็นดีด้วย
บังใจไม่รอช้าผลุบลงไปในห้องครัวทันทีทันใด
ส่วนผมรู้สึกปวดหนึบๆ ที่ข้อหัวแม่ตีนข้างขวา
ก้มลงดูเห็นเริ่มบวมแดง ไม่รู้ว่าสะดุดเอากับอะไรตอนไหน
เมื่อเรือแล่นเข้าปากคลอง พวกเรารีบล้อมวงกันกินข้าว ก่อนความมืดจะมาเยือน
เรือแล่นช้าๆ เข้ามาในคลองที่มีต้นโกงกางสองฝั่งอุดมสมบูรณ์
ผ่านโค้งหลายโค้ง ผ่านคลองแยกเล็กๆหลายสาย
จนกระทั่งเกือบ 3 ทุ่ม เราจึงมาถึงท่าเรือยอช์ทที่เรียกว่า "ซีบาน่ามารีน่า"
เพราะความมืด จึงมองอะไรไม่เห็นมากนัก
นอกจากแสงไฟจากเรือที่จอดเที่ยบท่าอยู่เป็นจำนวนมาก
และแสงไฟจากบ้านพักหรือรีสอร์ทที่สร้างอยู่รอบๆท่าเรือ
เหมือนกับท่าเรือยอช์ททั่วๆไป
3 ทุ่มเศษ เรือเราเทียบท่าเสร็จเรียบร้อย บังหมานดับเครื่องยนต์
หลังจากลากสายไฟเคเบิ้ลของเรือไปเสียบต่อกับปลั๊กไฟของท่าเรือ
เป็นกฏโดยทั่วไป เมื่อเรือเข้าเทียบท่าจะต้องดับเครื่องยนต์
แต่เมื่อดับเครื่องยนต์ ในเรือก็ไม่มีไฟฟ้าใช้
จึงต้องใช้ไฟของท่าเรือที่เขาเตรียมไว้ให้
และต้องจ่ายค่าไฟรวมทั้งค่าจอดเรือด้วย
ซึ่งผู้เขียน ไม่ได้หารายละเอียดเกี่ยวกับค่าใช้จ่ายในเรื่องนี้
รู้แต่ว่าตอนนี้อยากอาบน้ำและนอนเท่านั้น...