วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

SEBANA MARINA รัฐยะโฮร์ มาเลเซีย(24-25/09/2008)

จากความตอนที่แล้ว...ค่ำของวันที่ 24 ก.ย.54 ประมาณ 3 ทุ่มเศษ เราเข้าเทียบท่าจอดค้างคืนที่ ซีบาน่ามารีน่า (SEBANA GOLF & MARINA RESORT) อยู่ในเขตรัฐยะโฮร์หรือโยโฮร์หรือโจโฮร์(Johor) ของมาเลเซีย เพื่อพักเรือ พักคน เติมน้ำจืดสำรอง ลงน้ำมันดีเซลสำรองและหาซื้อเสบียงอาหารของใช้จำเป็นเพิ่มเติม...

เช้าวันที่ 25 ก.ย.51 ที่ ท่าเรือยอช์ท ซีบาน่ามารีน่า (SABANA MARINA) อากาศสดใส ก้อนเมฆสีขาว มองเป็นรูปร่างต่างๆ ลอยอ้อยอิ่ง ไม่รีบร้อนอยู่บนท้องฟ้าสีคราม แสงแดดยามเช้า ส่องกระทบกับผิวน้ำในท่าจอดเรือและเรือยอช์ท หลากหลายขนาด หลากหลายสไตล์ ที่เทียบท่าอยู่ในมารีน่า สะท้อนเป็นสีเหลืองทองอร่าม รู้สึกถึงความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา

พวกเราทั้ง 6 ชีวิต ตื่นขึ้นมาด้วยความกระปรี้กระเปร่า กระฉับกระเฉง จากการได้นอนหลับพักผ่อนอย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องหลับๆตื่นๆ สะดุ้งผวา เหมือนกับตอนที่เรือกำลังแล่นอยู่ในทะเล

หลังจากทำธุระส่วนตัวกันแล้ว ต่างก็ทยอยขึ้นมาบนดาดฟ้า พร้อมกับถ้วยกาแฟติดมือมาด้วยทุกคน ต่างก็หน้าตาสดชื่นแจ่มใส ทักทายกันตามธรรมเนียมของชาวเรือ

ส่วนผม เช้าวันนี้ไม่ค่อยจะแฮปปี้ซักเท่าไหร่ เพราะที่ข้อหัวแม่เท้าซ้าย มันเริ่มบวมมากขึ้นและปวดมากขึ้น เวลาเดินต้องเดินกับส้น(ตีน)เท้า แต่ก็ไม่ได้แสดงอาการให้ใครเห็น เพราะกลัวเสียฟอร์ม ฮ้า ฮ้า..


ที่ซีบาน่ามารีน่า เช้าวันที่ 25 ก.ย.51
 หลังจากที่ทุกคนหาที่นั่งเหมาะๆกันเป็นที่เรียบร้อย

กับตันไก่ จึงเปรยขึ้นว่า “กินกาแฟกันเสร็จแล้ว สักแปดโมง เราจะขึ้นบกไปในเมือง หาซื้อกับข้าวและของใช้ ช่วยกันเช็คว่าจะต้องซื้ออะไรเพิ่มมั่ง จดรายการมาด้วย”

“ไปกันทุกคนหรือกัปตัน?” บังใจ ถามขึ้น

“ใครจะไปก็ได้หรือใครจะอยู่เฝ้าเรือก็ได้ ไม่ว่ากัน” กัปตันไก่ ตอบ

“ไปกันทั้งหมดนี่แหละ หาข้าวขาหมูอร่อยๆกินสักมื้อ ไม่ได้ขึ้นบกมาหลายวัน” ยุทธ พูดขึ้นดังๆ

“เฮ้!..มาเลย์ฯ นะมึง ไม่ใช่ ประเทศไทย” บังหมาน ขัดขึ้น

“เออ..จริงหว่ะ ลืมไป นึกว่าอยู่ภูเก็ต” ยุทธ ตีหน้าเหรอ แต่อมยิ้ม

กับตันไก่ พูดขึ้นว่า “ข้าวขาหมู ไม่แน่ใจว่าจะมีหรือเปล่า แต่ตลาดนัดขายเนื้อหมูมี ผมมาเที่ยวก่อน ยังเคยไปซื้อหมูมากิน”

“แสดงว่า มีคนไทยสิ” คุณบันเทิง คาดคะเน

“ใช่!.มีทั้งคนไทยพุทธและคนจีนพุทธมากเหมือนกัน” กัปตันไก่ ให้คำตอบ

“แต่เที่ยวนี้ อดหมู ฮิ ฮิ” บังหมาน ดักคออีก

กัปตันไก่ หัวเราะ หึ หึ..

ความจริงในพวกเราทั้ง 6 คน มีพุทธ 3 คน คือกัปตันไก่,ผมและยุทธ ส่วน บังใจ,คุณบันเทิง เป็นอิสลามเทียมคือพุทธได้เมียแขก และค่อนข้างจะเคร่งมาก จึงมี “บังหมาน” คนเดียวที่เป็นอิสลามแท้ๆ แต่เท่าที่ผมสังเกตุไม่ได้เคร่งครัดอะไรมากนัก จัดอยู่ในประเภทแขกสากล เหล้ากิน เบียร์กิน ซึ่งผมชักจะมั่นใจว่า ถ้าหากไปนั่งกินเหล้าด้วยกันที่ร้านลาบ จังหวะพอตึงๆ ได้ที่ “บังหมาน” ต้องกินคอหมูย่างแน่

ที่มั่นใจอย่างนั้น เพราะผมมีเพื่อนคนหนึ่งที่ภูเก็ต เป็นอิสลามแท้ๆ นิสัยใจคอคล้ายกับ บังหมาน “บัง” เพื่อนผม เป็นคนพื้นเพมาจากเกาะยาว ในอ่าวพังงา “บัง” เคยไปเรียนโรงเรียนช่างกล ในกรุงเทพฯและพักอาศัยอยู่ในวัดกับเพื่อนๆไทยพุทธ กินข้าววัด อยู่กับพระ(ไม่แน่ใจว่า “บัง”สวดมนต์ไหว้พระด้วยหรือเปล่า) จึงกลายเป็นเด็กวัด เหมือนเพื่อนๆไทยพุทธในกลุ่มไปโดยอัตโนมัติ พอเรียนจบ กลับมาทำงานที่ภูเก็ต “บัง” ห้อยพระหลวงปู่ทวดเลี่ยมทองหน้าตาเฉย แถมยังดูเป็นอีกด้วยว่า องค์ไหนเก๋ องค์ไหนแท้ และรู้จักทุกรุ่น ทุกพิมพ์ รู้ประวัติ รู้ตำหนิ รู้ราคาของแต่ละรุ่นอีกต่างหาก เอากะ “บัง” สิ..

บ่อยครั้งที่ไปนั่งกินเหล้ากันตามร้านอาหารอีสาน ในเมืองภูเก็ต “บัง” จะสั่ง “คอหมูย่าง”มากินทุกครั้ง แต่ถ้าหากร้านไหน ลักไก่ เอาแก้มหมูย่างมาให้ เป็นได้มีปัญหากับ “บัง” ทุกที เพราะ “บัง”มันดูเป็น (เหมือนดูหลวงปู่ทวด) ว่าอันไหนคอหมู อันไหนแก้มหมู ถ้ายกแก้มหมู่ย่างมา “บัง” ไม่เอา..บอกคืน ให้ไปย่างคอหมูมาใหม่ เอากะ “บัง”มันสิ!.. สุดยอดแขกจริงๆ

ที่โบราณเขาว่า “ถ้าเจองูกับแขก ให้ตีแขกก่อนตีงู” สำหรับผมเพื่อนแขกคนนี้ ผมไม่ตีมันเด็ดขาด เพราะมันเลี้ยงเหล้าผมบ่อยครั้ง และ “ป๊ะ” ของมันยังมีที่ดินบนเกาะยาวอีกหลายสิบไร่ ราคาไร่ล่ะหลายสิบล้าน มันจะเป็นเศรษฐีเงินร้อยล้านในอนาคตอันใกล้นี้ แล้วผมจะตีมันให้โง่ทำไม?..จริงมั๊ย..ท่านผู้ชม อิอิ..


บังหมาน แขกเจ้าสำราญ


บังใจ จอมพลัง


กัปตันไก่(ซ้าย)......ยุทธ(ขวา)

คุณบันเทิง (ตำแหน่งผู้ควบคุมเรือ แต่ทำหน้าที่ลูกเรือ)
 กลับมาที่ท่าเรือ 8 โมง พวกเราทั้ง 6 ลงจากเรือยกโขยงเดินออกจากมารีนา กัปตันไก่ พาตรงไปที่สำนักงานย่อยตรวจคนเข้าเมือง(Immigration office) ซึ่งตั้งอยู่ด้านข้างของสำนักงานมารีน่า(ท่าจอดเรือ) โดยมีผมเดินเขยกรั้งท้าย เพราะอาการปวดที่ข้อหัวแม่เท้าซ้ายเพิ่มมากขึ้นทุกที

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองที่นี่ มีห้องทำงานใหญ่โตพอสมควร เพราะนอกเหนือจากการตรวจคนเข้าเมืองที่มากับเรือยอช์ทแล้ว ยังต้องตรวจคนเข้าเมืองที่มากับเรือโดยสารจากอินโดนีเซีย ซึ่งมีท่าเรืออยู่ไม่ห่างกับท่าเรือยอช์ทนั้นเอง

กัปตันไก่ เข้าไปพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ตรงช่องประชาสัมพันธ์ ด้วยภาษาอังกฤษ โดยมีพวกเรา ยืนออกันอยู่ใกล้ๆ แจ้งความประสงค์กับเธอว่าจะเข้าไปในเมืองหาซื้ออาหารและของใช้จำเป็นมาลงเรือ

เธอขอพาสปอร์ตของทุกคน จากกัปตันไก่

กัปตันไก่ บอกเธอไปว่า พาสปอร์ต มีเฉพาะของเขาเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆมีสมุดประจำตัวลูกเรือ (SEAMAN BOOK) เพียงอย่างเดียว เธอตอบกลับมาว่า ถ้าไม่มีพาสปอร์ตก็อนุญาตให้เข้าเมืองไม่ได้

เอาละสิ..ดูท่าว่าพวกเรา 5 คนคงจะไม่ได้เข้าเมืองแน่ๆ

กัปตันไก่ ใช้เวลาพูดคุยเจรจา ขอร้องกับเธอประมาณ 15 นาที จนในที่สุดเธอจึงยินยอมผ่อนปรน โดยขอสมุดประจำตัวลูกเรือของทุกคน เอาไปกรอกข้อมูลรายละเอียดต่างๆเสร็จแล้วจึงคืนกลับมาให้ พร้อมพูดสำทับกัปตันไก่ ผมได้ยิน ว่า “คุณต้องรับผิดชอบทุกคนนะและห้ามไปที่อื่นโดยเด็ดขาดไม่ยังงั้นพวกคุณจะโดนจับขังคุก”

กัปตันไก่ รับปากยืนยันและบอกขอบใจเธอ ก่อนจะชวนพวกเราเดินออกมา เพื่อไปหารถแท็กซี่ ที่หน้า สำนักงานมารีนา

หมายเหตุ...โดยหลักปฏิบัติของการเดินเรือออกสู่น่านน้ำสากล เป็นหน้าที่ของกัปตันเรือจะต้องแจ้งการนำเรือออกจากราชอาณาจักรกับทางสำนักงานเจ้าท่า (MARINE OFFICE) ที่เมืองท่าต้นทาง ถึงจุดหมายปลายทางที่เรือจะไป ต่อจากนั้นไปแจ้งจำนวนลูกเรือพร้อมกับแสดงสมุดประจำตัวลูกเรือ (SEAMAN BOOK) ที่สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (IMMIGRATION) ยังท่าเรือต้นทางเช่นกัน

เพราะว่าเมื่อเรือแล่นออกน่านน้ำสากลและเข้าสู่น่านน้ำของประเทศใดๆ หากมีเจ้าหน้าที่ชายฝั่งของประเทศนั้น มาขอตรวจเรือ จะต้องมีเอกสารใบกำกับเรือตัวนั้นแสดงให้เขาเห็น หากไม่มี อาจโดนจับและยึดเรือไว้ ในข้อหาบุกรุกน่านน้ำของเขาก็ได้

ส่วนลูกเรือ จะต้องแสดงสมุดประจำตัวลูกเรือ ถ้าใครไม่มี เมื่อถูกตรวจจับได้ก็มีสิทธิ์ติดคุกเหมือนกัน สำหรับสมุดประจำตัวลูกเรือไม่เหมือนพาสปอร์ต อนุญาตให้ผู้ถือ ป้วนเปี้ยนอยู่ได้เฉพาะในบริเวณท่าจอดเรือเท่านั้น ถ้าออกจากบริเวณท่าจอดเรือ เพื่อขึ้นฝั่ง จะต้องมีพาสปอร์ต ถ้าหากใครไม่มี ถือว่าเป็นบุคคลหลบหนีเข้าเมือง มีสิทธิ์ติดคุกหัวโต ฟังๆดูแล้วมันไม่ง่ายเลยใช่ไหม?...พี่น้อง.

เพราะฉะนั้น สิ่งแรกสำคัญที่สุด ซึ่งลูกเรือเดินทะเลทุกคนจะต้องมี คือสมุดประจำตัวลูกเรือ (SEAMAN BOOK) สิ่งที่สองคือพาสปอร์ต (PASSPORT) ถ้ามีทั้ง 2 อย่างนั้น ถือว่าเป็นลูกเรือที่สมบูรณ์แบบ ไปได้ทั่วโลก

แต่สำหรับเรือลำนี้ เที่ยวนี้ โดยการนำของกัปตันไก่ ไม่มีการแจ้งออกจากต้นทางที่เกาะสมุย (ผมไม่ทราบเหตุผลของกัปตันไก่) จึงไม่มีหนังสือบันทึกรับรองที่มา-ที่ไป และลูกเรือแต่ละคนไม่มีพาสปอร์ต ยกเว้นกัปตันไก่ ส่วนสมุดประจำตัวลูกเรือ มีกันทุกคน ผมมารู้เรื่องพวกนี้จากกัปตันไก่ เมื่อกลับมาถึงภูเก็ตแล้ว ยังรู้สึกเสียวไม่หายกับความบ้าของกัปตันไก่...

กัปตันไก่ พาพวกเราเดินไปออกตรงด้านหน้าฟร้อนท์ ของมารีน่า ซึ่งมีที่สำหรับให้รถจอดรับ-ส่งผู้โดยสาร เหมือนกับหน้ารีสอร์ทใหญ่ๆทั่วไป ตรงเชิงบันไดมีเคาเตอร์แท็กซี่ตั้งอยู่ ถัดเข้าไปเป็นเคาเตอร์ฟร้อนท์มีพนักงานต้อนรับ แคชเชียร์ฯ ถัดไปเป็นบริเวณรับแขกและมุมกาแฟ ด้านหลังเป็นทางลงไปท่าจอดเรือ

กัปตันไก่เข้าไปคุยกับเจ้าหน้าที่สาว หน้าตาสวยคมแบบสาวมาเลย์ฯ (ผมสังเกตว่า ตั้งแต่สาวในสำนักงาน ตม.และสาวที่เคาเตอร์แท็กซี่ไม่มีใครคลุมผ้าโพกหัว ปิดหน้ากันเลย) ที่เคาเตอร์แท็กซี่ พูดกับเธอเป็นภาษาอังกฤษ ว่า” ผมจะเช่ารถแท็กซี่เข้าไปในตลาด ราคาคันละเท่าไหร่?”

เธอตอบว่า “คันล่ะ 40 ริงกิต นั่งได้ 4 คน แต่ถ้าเป็นรถตู้ คันละ 60 ริงกิต นั่งได้ 9 คน”

กัปตันไก่ คำนวณอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในช่วงนั้น 1 ริงกิต คิดเป็นเงินไทยประมาณ 9 บาทเศษ พวกเรา มีด้วยกัน 6 คน ใช้รถตู้คันเดียวน่าจะดีกว่า

จึงถามกลับอีกทีว่า “รถตู้ราคา 60 ริงกิตนั้น รอรับกลับด้วยหรือเปล่า?”

เธอบอกว่า “ถ้ารอรับกลับด้วย ต้องจ่ายเพิ่มอีก 20 ริงกิต รวมเป็น 80 ริงกิต แต่รอได้ไม่เกิน 4 ชั่วโมง”

กัปตันไก่ตอบ “ตกลง ผมจะเช่ารถตู้คันหนึ่ง ช่วยเรียก ให้ด้วย”

เธอคนนั้น หันไปคุยกับคนขับรถ 2-3 คนที่นั่งอยู่บริเวณนั่น เป็นภาษามาเลย์ฯ ในทำนองว่า พวกหน้าดำๆ ตัวดำๆ 6 คนนี้ จะเช่ารถตู้เข้าไปในเมือง ในราคานั่นแหละ มีใครจะไปมั่ง!?..

คนขับแท็กซี่ทุกคนสั่นหัว สายหน้า ปฏิเสธ แล้วพูดกัน กิ๊กิ๊ ก๊ะก๊ะ ย๊ะย๊ะ เย๊าะเย๊าะ ในทำนองรังเกียจ บางคนมองมาที่พวกเราด้วยสายตาขวางๆ แบบจะเอาเรื่องซะด้วยซ้ำ

เอ๊ะ..ชักจะยังไง?..พวกเรารู้สึกเครียดกันทุกคนกับท่าทีของพวกคนขับแท็กซี่..ต่างก็คิดว่า นี่พวกกูไปทำอะไรให้พวกมึงว่ะ..อยู่ๆแสดงท่าทางจะมาเอาเรื่องกันแบบนี้!..

กัปตันไก่ ฟังภาษามาเลย์ฯรู้เรื่อง จึงรีบพูดกับเธอคนนั้นอย่างสุภาพที่สุด “มีปัญหาอะไรหรือครับ?”

“เสียใจด้วย พวกนั้นไม่ให้บริการคนอินโดนีเซีย” เธอตอบกลับมาด้วยสีหน้าเครียดๆ

“พวกเราคนไทยครับ มาจากเกาะสมุย จะไปภูเก็ต” กัปตันไก่ บอกเธอ พร้อมกับหัวเราะ แล้วหันมาพูดกับพวกเราว่า “มันนึกว่าเราเป็นอินโดฯ พูดภาษาไทยกับมันที”

เท่านั้นแหละครับพี่น้อง..ภาษาไทยสำเนียงปักษ์ใต้ ศัพท์พ่อขุนรามคำแหง เช่น คำอวัยวะเพศชายภาษาไทยกลางมั่ง!. คำอวัยวะเพศชายภาษาภูเก็ตมั่ง!. คำร่วมเพศกับแม่คนอื่นมั่ง!. ก็ดังฉาวขึ้นพร้อมกัน จนพวกคนขับรถแท็กซี่ 2-3 คนนั้น นั่งทำหน้าเหรอหรา บางคนตาดำผลุบหายไป เหลือแต่ตาขาวก็มี

ผมกับกัปตันไก่ ยืนมองหน้ากัน อมยิ้ม..

พวกเราหายสงสัยว่าทำไม? พวกนั้นจึงไม่ยอมไปส่งพวกเรา..แต่ผมกลับมีข้อสงสัยอย่างอื่นตามมาว่า ทำไม? คนมาเลย์ฯ จึงไม่ชอบคนอินโดฯ..ผมตั้งใจจะหาคำตอบให้ได้!....

ขณะที่พวกเรากำลังแหลงกันฉาวอยู่นั่น ก็มีคนขับแท็กซี่คนหนึ่ง อายุประมาณสัก 30 เศษๆเห็นจะได้ ลุกขึ้นเดินเข้ามาที่กลุ่มพวกเราแล้วพูดขึ้นว่า “ไอ จะพาพวกยูไปเอง รถของไอจอดอยู่ที่นั่น พร้อมจะไปกันหรือยัง?” บังมาเลย์ฯ พูดเป็นภาษาอังกฤษ พร้อมกับชี้มือไปที่รถตู้คันสีฟ้า กลางเก่า กลางใหม่ จอดอยู่ที่ลานจอดรถห่างออกไปสักประมาณ 30 เมตร

“ราคา 80 ริงกิต ไปและรอรับกลับ ไม่เกิน 4 ชั่วโมง” กัปตันไก่ พูดกับ บังขับรถ คนนั้น เพื่อทำความเข้าใจให้ตรงกัน

“โอ เค ตามนั้นแหละ ยูจ่ายเงินที่เคาเตอร์ได้เลย” บังขับรถ ตอบตกลง

กัปตันไก่ ควักเงินริงกิต จ่ายที่เคาเตอร์ แล้วเราก็เดินตาม บังขับรถ ไปที่ลานจอดรถ

รถตู้คันนั้น พาพวกเราออกมาจากสำนักงานมารีน่า ผ่านสนามกอล์ฟไปสักประมาณ 10 นาที รถเลี้ยวขวาเมื่อเข้าสู่ถนนสายหลัก ซึ่งเป็นถนนลาดยางอย่างดี

ผมถาม บังขับรถ ขึ้นว่า “เมืองที่เราจะไปชื่ออะไรครับ?” ผมนั่งอยู่เก้าอี้ตัวหลังคนขับจึงถามสะดวก

“ชื่อตลาดเปนเกอร์รัง (Pengerang) ห่างไปประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร” บัง ตอบมาพร้อมกับบอกระยะทางเสร็จสรรพ

อธิบายต่อแบบคนขับรถที่ดีว่า “ถ้าเลี้ยวซ้ายไปรัฐโยโฮร์(สำเนียงมาเลย์) ระยะทางประมาณ 50 กว่ากิโลเมตร”

“เมืองใหญ่มั๊ย?” ผมชวนคุยต่อ

“เมืองใหญ่ เป็นเมืองหลวง มีสุลต่านด้วย มีคนมาก คนไทยก็มี คนเวียดนามก็มี คนฟิลิปปินก็มี” บังตอบ

มา และขายยาต่ออีกว่า “มีผู้หญิงอย่างว่าด้วยนะ พวกยูสนใจมั๊ย? ” อ่ะ..บังคิดทำการค้าแร่ะ..

“เป็นคนชาติไหน?” เสียงบังหมานของเรา แทรกผมเข้ามา

“ฟิลิปปินโน สวยๆทุกคน ใจดีด้วย เอาใจเก่ง” บังขับรถ เริ่มเป็นเซลแมน

“ราคาเท่าไหร่?” บังหมาน รุกต่อ

“ชั่วคราว 250 ริงกิต ถ้าของใหม่ 300 ริงกิต” นี่...มีของใหม่ด้วย บังขับรถ คนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ สงสัยจะเป็นรายได้เสริมของแก

กัปตันไก่พูดตัดบทขึ้นว่า “ให้เราเสร็จธุระกลับมาก่อน แล้วค่อยคุยกันอีกที เรายังอยู่ที่นี่อีก 1 คืน”

“โอเค.ถ้าพวกยูสนใจ เรียกไอได้ตลอดเวลา ไอคิดค่ารถไม่แพงหรอก” บังขับรถ ยื่นข้อเสนอแบบเดียวกับแท็กซี่ภูเก็ต ไม่มีผิด

ผมยังมีคำถามคาใจอยู่ จึงถามขึ้นอีก “คุณไดรเว่อร์ ทำไม พวกคุณจึงไม่ชอบคนอินโดนีเซีย?”

“อ๋อ..พวกอินโดฯ เป็นโจรปล้น ชอบลัก ชอบขโมย เห็นแก่ตัว คนมาเลย์ฯไม่ชอบ เรือของพวกมันจมอยู่ในทะเล คนมาเลย์ฯเห็นก็ไม่ช่วย ปล่อยให้พวกมันจมน้ำตาย” บังขับรถ ตอบผมด้วยน้ำเสียงโกรธแค้น ชิงชัง รังเกียจ อย่างมีอารมณ์

ผมได้คำตอบกับคำถามคาใจแล้วจึงเงียบเสีย ไม่อยากกระตุ้นต่อมความโกรธ ความเกลียดของแกเพิ่มขึ้น

ไม่ถึง 20 นาทีต่อมา เรามาถึง ตลาดเมืองท่าเรือ ซันไกเรงกิต (Sungai Rengit ผมไม่แน่ใจว่า ภาษาไทย ควรจะเขียนยังไง) เป็นเมืองเล็กๆ เงียบๆ ไม่พลุกพล่าน บ้านเรือน ร้านค้าค่อนข้างเก่า แต่ถนนสะอาดสะอ้าน ดูสบายตา

เมือง Sungai Rengit

ด้านหลังผู้เขียน เป็นที่ทำการท่าเรือ
กัปตันไก่บอกกับ บังขับรถ ว่าให้ไปส่งที่คลินิกก่อน (จุดประสงค์เกี่ยวกับ ส้นตีนของผมนี่แหละ!..) บัง พาเราไปที่ย่านการค้าและจอดให้เราลง
เมื่อพวกเราลงจากรถที่หน้าร้านขายยาแห่งหนึ่งเป็นที่เรียบร้อย บังขับรถ บอกว่าเขาจะจอดรถไว้ที่ลานจอด ถ้าพวกเราเสร็จธุระแล้ว ให้ไปหาเขาที่รถ แต่อย่าให้เกิน 4 ชั่วโมง

กัปตันไก่ตอบตกลง

ร้านขายยาที่ บังขับรถ พาเรามาส่ง เป็นร้านประเภทขายยาแผนโบราณเก่าๆ ผมตัดสินใจเดินเขยกเข้าไปแบบไม่มีตัวเลือก ผู้ชายจีนสูงวัยออกมาถามผมเป็นภาษามาเลย์ แต่ผมฟังไม่รู้เรื่อง!.. ผมจึงชี้ลงไปที่ข้อหัวแม่ตีนของผม ซึ่งกำลังบวมแดงเห็นได้ชัด เมื่อแกเห็น จึงพาผมให้ไปนั่งตรงเก้าอี้ด้านใน แล้วเอามือ จับๆ บีบๆ ลูบๆ คลำๆเสร็จ ลุกขึ้นไปจัดยาให้ผม เป็นยาน้ำคล้ายๆยาธาตุน้ำขาว 1 ขวด กับยาเม็ด อีกชุดใหญ่ แล้วเขียนใบกำกับการกินเป็นภาษาอังกฤษ ส่งให้ผมพร้อมกับบิลค่ายา 30 ริงกิต ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็เกือบ 300 บาท แพงไม่ใช่เล่น ถ้าเทียบกับจำนวนยาที่จัดให้มา ผมจ่ายเงิน รับยาเดินออกมาหาพรรคพวกที่รออยู่หน้าร้าน รวมเวลาแล้วไม่เกิน 15 นาที

ที่มีคนใส่เสื้อสีเหลืองยืนหันหลังคือร้านขายยาที่ผู้เขียนเข้าไปซื้อยา
 กัปตันไก่ บอกว่าไปหาข้าวกินกันก่อนแล้วค่อยหาซื้อของหรือทำธุระอื่นๆ

พวกเรา เดินตามหลังกันไปเป็นพรวน ไปทางไหน มีแต่คนจ้องมองแบบรังเกียจและหวาดระแวง จะไปว่าเขาไม่ได้ เพราะดูยังไง พวกเราเหมือนอินโดฯเรือแตกจริงๆ...

พวกเราเดินหาร้านอาหาร ในย่านการค้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นบ้านไม้เก่าๆ ขายของชำและของกิน ของใช้ จิปาถะทั่วไป เดินดูไป ดูมา เห็นมีแต่ร้านอาหารเจ เปิดอยู่ 2-3 ร้าน ไม่มีร้านอาหารตามสั่งหรือร้านข้าวราดแกงแม้แต่ร้านเดียว อาจจะเป็นเพราะว่ายังเช้าอยู่หรือคนมาเลย์ฯ ไม่นิยมกินข้าวราดแกง ผมก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ ช่วงนี้เป็น “เทศกาลกินเจ” ซึ่งปีนี้ตรงกับ “เทศกาลฮารีรายอ” ด้วย นี่อาจเป็นเหตุผลที่พอจะสรุปได้ ว่าทำไมจึงมีแต่ร้านอาหารเจ..

“ไม่มีร้านข้าวขาหมูว่ะ..ยุทธ! ท่าว่าจะต้องกินอาหารเจซะแล้ว” กัปตันไก่ พูดกับยุทธ

“เจก็เจ ชักจะเนือย(หิว)แล้วเหมือนกัน” ยุทธว่า..

พวกเราจึงตรงไปยังร้านที่มีธงสามเหลี่ยมสีเหลืองและโคมไฟกลมๆสีแดงห้อยอยู่หน้าร้าน บ่งบอกว่าเป็นร้านอาหารของคนจีน แหงๆ..

เราเลือกนั่งโต๊ะใหญ่ที่ตั้งอยู่บนฟุตบาธหน้าร้าน ซึ่งเป็นลูกค้าโต๊ะแรก จัดการสั่งกับข้าวเจมา 4 อย่าง อย่างละ 2 ชุด เป็นผัดผักรวมกับแกงคล้ายๆแกงส้ม แต่ไม่ใช่ เพราะว่ารสชาดมันจืดชืดจนไม่มีรสชาด

บรรยากาศ หน้าร้านอาหารเจ
 
กับข้าวเจสี่อย่าง+ข้าวสวย+น้ำเปล่า จ่ายไปพันกว่า

ผมกินข้าวไปได้แค่ครึ่งจานก็เลิก เพราะไม่ไหวจริงๆ แบบที่เขาเรียกว่ารสชาติเหลือรับประทาน จะตำหนิว่าของเขาไม่อร่อยคงไม่ได้ อาจจะไม่คุ้นกับลิ้นของเราหรือเป็นอาหารเจ ก็เป็นไปได้ทั้งสองอย่าง

แต่ที่แน่ๆ เมื่อเรียกเก็บเงิน กัปตันไก่ จ่ายไป 100 กว่าริงกิต ฮ้า ฮ้า..รับได้!.. ค่าเงินไทยถูกกว่าเงินมาเลย์ฯเยอะและอาหารเจ ที่ภูเก็ตก็ราคามหาโหดเหมือนกัน ไม่เชื่อถามใครๆที่เคยไปภูเก็ตตอนเทศกาลกินเจดูก็ได้!..อิอิ..

พวกเราออกมาจากร้านอาหารเจของจีนมาเลย์ฯ ด้วยกระเพาะที่ยังโหวงๆ เหวงๆ ตรงไปยังร้านขายโทรศัพท์มือถือ เพื่อซื้อซิมการ์ด เป็นเบอร์และรหัสของมาเลย์ฯ เพราะตั้งแต่เข้าเขตน่านน้ำของมาเลเซียเป็นต้นมา โทรศัพท์ของทุกคนเงียบกริบ ไม่มีทั้งเสียงโทรเข้าและเสียงโทรออก

ผู้เขียน บังใจ บังหมาน
พวกเราเตรดเตร่อยู่ที่เมือง Sungai Rengit กระทั่งเกือบ 11 โมง จึงขึ้นรถออกมาแวะที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง แถวๆนอกเมือง ห่างออกมาไม่ไกล เป็นห้างคล้ายๆกับห้าง แม็คโครในบ้านเราแต่เล็กกว่ามาก หลังจากการซื้ออาหารสด ของแห้ง เครื่องครัวและของใช้จำเป็นของแต่ละคนเสร็จสิ้น ครบถ้วน พวกเราขึ้นรถกลับ “ซีบาน่า มารีน่า”
หลังจากลงรถ กัปตันไก่ ให้ทิปกับ บังขับรถ ไป 10 ริงกิต

บัง ขอบคุณ และไม่ลืมย้ำว่า “ยู อย่าลืมเรียกไอนะ ถ้าคิดถึงสาวฟิลิปปิน”

“แน่นอน เราจะเรียกยู ทันที” กัปตันไก่ แหลอย่างหนักแน่น นี่ถ้าบัง มันรู้ว่าเราจะออกเรือตอนบ่ายนี้ มันคงแค้นกัปตันไก่มากกว่าแค้นพวกอินโดฯแน่ๆ..

พวกเราช่วยกันหอบหิ้วข้าวของที่ซื้อมาไปลงเรือ

ที่เรือ กัปตันไก่ บอกว่า เดี๋ยวจะย้ายเรือไปลงน้ำมันและน้ำจืดที่ท่าเรือโดยสารด้านโน้น ใครจะเดินไปก่อนก็ได้ แต่ขอให้ไปกับเรือคนหนึ่ง เพื่อช่วยปลดเชือกเรือ คุณบันเทิงเป็นคนอาสาไปกับเรือ ผม ยุทธ บังหมานและบังใจ จึงพากันเดินไปที่ท่าเรือโดยสาร

กัปตันไก่นำเรือออกมาจากท่าเรือยอร์ท มาเทียบท่าเรือโดยสาร
ท่าเรือโดยสารซีบาน่า ห่างออกไปทางด้านซ้ายมือ ประมาณ 200 เมตร อยู่ในลำคลองสายที่ออกไปทะเล เป็นท่าเรือหนึ่งในจำนวนหลายๆแห่งของมาเลเซีย ที่มีเรือโดยสารแล่นให้บริการระหว่าง มาเลเซีย-สิงค์โป-อินโดนีเซีย


ลงน้ำมัน น้ำจืด ที่ท่าเรือโดยสาร ด้านหลังเป็นเรือโดยสารที่แล่นระหว่าง ซีบาน่า-สิงค์โป-อินโดนีเซีย

พวกเราไปถึงที่ท่าเทียบเรือโดยสารก่อนกัปตันไก่จะเอาเรือเข้ามาเทียบหลายนาที ผมมองเห็นเจ้าหน้าที่ รปภ.ของท่าเรือนายหนึ่งยืนวางมาดเทย์ แต่หน้าตาน่าคบ (น่าเตะเหมือนยามในเมืองไทยเลย) จึงเดินเกร่เข้าไปหาและบอกเขา(ภาษาอังกฤษ)ว่าจะขออนุญาตถ่ายรูปบริเวณท่าเรือได้หรือไม? เขาบอกว่าตามสบาย ไม่มีการหวงห้าม หลังจากที่ผมเก็บภาพเป็นที่พอใจ จึงได้คุยกับ รปภ.นายนั้น

เพื่อน รปพ.ที่ท่าเรือ มาดน่าเต๊ะไม่ใช่ย่อย
 ผมชวนคุย “ออกเวรกี่โมงครับ?”

“วันนี้ออก 6 โมงเย็น” เพื่อนยามของผม ตอบเป็นภาษาอังกฤษลิ้นรัวๆ แต่ฟังง่าย

“รายได้ดีไหม?” ผมซอกแซกไปเรื่อยๆ

“รายได้พอสมควร แต่ก็ไม่พอใช้ สำหรับบ้านเช่า ข้าวซื้อและลูก 2 คน” หมอพูดยาวแบบเปิดเผย จริงใจ

“เป็นคนที่นี่หรือ?” ผมชวนคุยต่อ

“ไม่ใช่ ผมมาจากปากีสถาน มาอยู่ที่นี่ 10 กว่าปีแล้ว” ถึงว่า ผิวพรรณของหมอถึงได้ดำมืดเข้มข้นกว่าคนมาเลย์ฯโดยทั่วไปหลายเท่า

“เมียเป็นชาวปากีสถานเหมือนกันหรือ?” ผมถามเรื่อยเปื่อย ได้ยินเพื่อนบอกว่า มีลูก 2 คน

“อ๋อ..เมียผมเป็นคนมาเลย์ฯ” หมอตอบผมและยิ้มกว้างขวาง แสดงความภาคภูมิใจ

ขณะนั้น กัปตันไก่ กำลังนำเรือใกล้จะเทียบท่า

ผมจึงพูดกับเขาว่า “ขอถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึกได้หรือไม่?”

“โอเค.ได้เลย” เพื่อนผม ตอบด้วยความยินดี

ต่อจากนั้น ทั้งผม บังใจ บังหมานและยุทธ ก็ได้ถ่ายรูปกับเพื่อน รปภ. ประจำท่าเรือ โยโฮร์-สิงค์โป-อินโดนีเซีย ไว้เป็นที่ระลึกทุกคน

ผู้เขียน ที่ท่าเรือโดยสาร

ประมาณ 10 นาทีต่อมา กัปตันไก่ นำเรือเข้ามาเทียบท่า พวกเราจึงขอแยกตัวมาที่เรือเพื่อช่วยกันดูแล การลงน้ำมันดีเซลและน้ำจืด ประมาณครึ่งชั่วโมงจึงเสร็จเรียบร้อยและพร้อมจะออกเดินทาง


พร้อมที่จะ ลุยทะเลโหด

บ่ายโมงของวันที่ 25 กันยายน 51 แสงแดดเจิดจ้า ท้องฟ้าแจ่มใส ทัศน์วิสัยปลอดโปร่ง พวกเราอำลา “ซีบาน่า มารีน่า” มุ่งหน้าออกสู่น่านน้ำสิงค์โป ใน “ช่องแคบมะละกา” เพื่อ “ลุยทะเลโหด” ต่อไป.

...โปรดคอยติดตาม ตอนต่อไป...

1 ความคิดเห็น:

โกศล กล่าวว่า...

พี่หลวง ชุดนี้น่าสนใจมาก เขียนเสร็จขออ่านรวดเดียวเลยนะ มีจุดขายเด่นกว่าเรื่องในเมืองไทยมาก