จากความตอนที่แล้ว...เราตะลุยพายุจากเกาะเรดัง มาทิ้งสมอนอนกันที่หน้าเมืองท่าตรังกานู กระทั่งตอนสายของวันที่ 22 ก.ย.51 หลังจากซ่อมเครื่องเรือเสร็จ จึงได้ถอนสมอออกมา แล่นมุ่งหน้าสู่เกาะแตงก์โกล์(Teng Gold Isalnd) ตามพล๊อตเข็มที่ตั้งไว้ หนึ่งวันผ่านไป กระทั่งตะวันลับขอบฟ้า เรายังอยู่บนเส้นทางกลางท้องทะเลอันเวิ้งว้างนั้น....
การเดินทาง ในคืนวันที่ 22 ก.ย.51 ราบรื่นไม่มีเรื่องตื่นเต้น หวาดเสียวเกิดขึ้น เราไม่เห็นเรือประมง หรือเรือเดินทะเลชนิดอื่นใด บนเส้นทางที่เราแล่นมา เหมือนกับว่าทะเลนี้ มีเพียงเราลำเดียว..
ทะเลเงียบสงบ ท้องฟ้าโปร่ง มองเห็นดวงดาวระยิบระยับ เรือแล่นด้วยความเร็วปกติ มุ่งหน้าลงทิศใต้ตามเข็มที่กัปตันไก่ พล็อตไว้ ซึ่งห่างจากฝั่งออกมาประมาณ 50 ไมล์ทะเล
การแล่นเรือกลางคืน ถ้าใกล้ฝั่งมากเกินไป เสี่ยงกับการชนเกาะเล็กๆ ที่ไม่มีอยู่ในแผนที่เดินเรือ เสี่ยงกับการชนโขดหินใต้น้ำ เสี่ยงกับการชนโป๊ะดักปลาของชาวบ้านและมีโอกาสจะจ๊ะเอ๋กับสลัดชายฝั่งได้ง่ายๆ ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากเสี่ยง
ประมาณตอนตีสองเมื่อคืน เรือเราแล่นเฉียดผ่านฐานดูดน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในทะเลของมาเลเซีย มองเห็นแสงไฟระยิบระยับ ความโหญ่โตอลังการของมันเหมือนแล่นผ่านเกาะสมุย ผมแอบถ่ายรูปโดยไม่กล้าใช้แฟล็ช(เอามาดูตอนหลังภาพเบลอและมืดใช้ไม่ได้) เพราะกลัวว่าพวก รปภ.ของแท่นดูดน้ำมันจะเอาเรือออกมาไล่ถล่ม กัปตันไก่ บอกว่าพวกนั้นเคยถล่มเรือประมงที่แล่นเข้าไปใกล้เกินไป ยับเยินมาหลายลำแล้ว
เช้าวันที่ 23 ก.ย.51 ผมตื่นตั้งแต่ตีห้า ลงไปเข้าห้องน้ำชั้นล่าง ขึ้นมาบนดาดฟ้าอีกที ได้กับสัมผัสกับลมทะเลยามเช้าที่พัดมาจากทิศตะวันออก รู้สึกสดชื่น ปรอดโปร่งเป็นพิเศษ
เช้านี้ ผมจะต้องรับเวรถือถ้าย ตอน 6 โมง ต่อจากบังหมาน จึงนั่งกินกาแฟ สูบบุหรี่รอเวลาและซึมซับกับบรรยากาศของท้องทะเลยามเช้าก่อนดวงอาทิตย์มาเยือน
กระทั่งเมื่อแสงเงินแสงทองเริ่มจับขอบฟ้า ก่อน 6 โมง ท้องฟ้าเหนือน่านน้ำทะเลฝั่งตะวันออกของประเทศมาเลเซีย คลาคล่ำหนาแน่นไปด้วยการจราจรทางอากาศ เห็นเส้นสายควันสีขาวของไอเสียที่พ่นออกมาจากเครื่องยนต์แจ๊ส ไปทางทิศตะวันออกบ้าง ไปทางทิศตะวันตกบ้าง บินสวนกันไป-มา มากจนผมสงสัยว่า เครื่องบินพวกนี้ บินไปไหนกัน ถึงได้มาสวนกันตรงจุดนี้มากเป็นพิเศษ
ผมเฝ้ามองภาพที่สวยงามนั้นด้วยความประทับใจ ภาพแบบนี้ บรรยากาศแบบนี้ ในท้องทะเลที่เวิ้งว้างไกลออกมาจากแผ่นดินใหญ่ลิบลับ นับว่าน้อยคนนักที่จะได้เห็น น้อยคนนักที่จะได้สัมผัส
ผมยังนึกว่า ถ้ามีศิลปินนักวาดภาพสักคนมาเห็นภาพและบรรยากาศ ตอนนี้เข้า คงอดไม่ได้ ที่จะหยิบพู่กันจุ่มสีแล้วป้ายลงบนผืนผ้าใบ
แต่..ชำนาญ ณ.อันดามัน ทำได้แค่ ถ่ายรูปเก็บไว้ดู เพื่อระลึกความทรงจำ ว่า..ครั้งหนึ่งชีวิตเคยระหกระเหินไปล่องลอยอยู่กลางมหาสมุทรอันเวิ้งว้าง ถ้า...ยังรอดชีวิตกลับไป
ผมนั่งซึมซับบรรยากาศของท้องฟ้าเหนือทะเล กระทั่ง 6 โมงเช้า จึงเข้ารับเวรถือท้าย
ต่อจากบังหมานซึ่งลุกลงไปในห้องครัว เพื่อเตรียมอาหารเช้าให้พวกเราทุกคน
ผมถือท้ายจนถึง 8 โมง กัปตันไก่ จึงมารับช่วงต่อ พวกเรากินอาหารเช้ากัน ตอน 8 โมงเศษ
เมื่ออิ่มหนำสำราญกันแล้ว ทุกคนต่างแยกย้ายกันหามุมใครมุมมัน จะเอนหลัง จะอ่านหนังสือ(เสียดายไม่มีหนังสือโป๊ะ) จะถอนขนจั๊กแร้ จะซักเสื้อผ้าหรือทำธุระส่วนตัว ก็ว่ากันตามอัธยาศัย
มองจากไกลๆ จะเห็นเพียงกระโดงหลังของผู้มาเยือน
เมื่อผมลุกขึ้นและมองไปทางกราบซ้ายของเรือตามที่กัปตันไก่ ชี้ให้ดู ห่างออกไปประมาณ 50 เมตร เห็นกระโดงหลังของปลาอะไรสักอย่าง โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ มันใหญ่มากและกำลังแหวกว่ายน้ำทะเลแตกกระจายเคียงขนานไปกับเรือ
ผมรีบกดชัตเตอร์ ฉับ ฉับ บางภาพก็ติด บางภาพไม่ติดเพราะมันจมหายไปใต้ผิวน้ำเสียก่อน แล้วโผล่ขึ้นมาใหม่ เป็นแบบนั้นอยู่หลายครั้งจนหายไปในที่สุด
ผมหันไปถามกัปตันไก่ ว่าปลาอะไร? กัปตันไก่ ยิ้มๆ แล้วตอบผมไม่ตรงคำถามว่า รอดูอีกไม่นาน แล้วจะรู้ว่าเป็นปลาอะไร? บ๊ะ..มีให้ลุ้นระทึกด้วย
แต่ในใจผมตอนนั้น คิดว่าเป็นฉลามแน่ เพราะเห็นมีอยู่ตัวเดียว
ประมาณ 10 นาทีต่อมา ผมได้ยินเสียง แอ๊ดๆ อี๊ดๆ หลายเสียงดังมาจากบริเวณหัวเรือ
กัปตันไก่พูดกับผมว่า “นั่นมาแล้ว ไปดูสิ!.”
สิ่งที่ผมเห็น ใต้ผิวน้ำ ตรงหัวเรือ คลอเคลียแบบคู่รัก
มากจนนับไม่ทัน
ที่อยู่ใต้ผิวน้ำ
ที่โตๆ โผล่ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ นำหน้าเรือ
ผมรีบเดินไปที่หัวเรือ แล้วก็เห็นปลาโลมาฝูงใหญ่ กำลังว่ายน้ำนำหน้าเรือเราอยู่ หลายตัวอยู่ใต้ผิวน้ำหลายตัวเห็นเพียงกระโดงหลัง หลายตัวโผล่ขึ้นมาครึ่งตัว มีทั้งตัวเล็กตัวใหญ่ บางตัวมีสีขาวเผือก พร้อมกับส่งเสียงร้องเหมือนกับทักทายพวกเรา ทางกราบขวาของเรือมีอีกฝูง ทางกราบซ้ายก็อีกฝูง ผมกะคราวๆ เกิน 10 ตัวแน่ๆ แต่ไม่แน่ใจว่าอาจถึง 20 ตัว เพราะมันมากจนผมตาลาย ในชีวิตยังไม่เคยเห็นปลาโลมาที่มีจำนวนมากขนาดนี้มาก่อน
พวกมันว่ายน้ำ นำหน้าบ้าง ขนาบข้างเรือบ้าง บางตัวว่ายหงายท้อง บางตัวกระโดดขึ้นมาเหนือผิวน้ำ พร้อมกับส่งเสียงร้อง แอ๊ดๆ อี๊ดๆ ตลอดเวลา ดูโกลาหลวุ่นวาย ผมวิ่งหามุมถ่ายรูปจนกล้องเกือบหลุดจากมือลงทะเล
เกือบครึ่งชั่วโมงที่พวกมันว่ายน้ำประกบเรือเรามา แล้วค่อยๆหายไปทีละตัว สองตัวจนหมด ทะเลรอบลำเรือจึงกลับมาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง
ผมกลับมานั่งข้างกัปตันไก่ ยังรู้สึกตื่นเต้นประทับใจกับโลมาฝูงนั้น
“ไอ้ตัวแรกมันมาดูลาดเลาอยู่ห่างๆ เป็นชั่วโมงแล้ว จนแน่ใจว่าไม่มีอันตราย จึงส่งสัญญาณเรียกฝูงเข้ามา” กับตันไก่พูดกับผม
“พวกมันมากันทำไม?” ผมสงสัย ไม่เข้าใจ
“มันคิดว่าเรือเราเป็นเรือหาปลา พวกมันมาเผื่อว่าจะได้อาหาร” กัปตันไก่ อธิบายขยายความ
อ๋อ..ยังงี้นี่เอง ถึงว่า มันว่ายตามจนแน่ใจว่า ไม่มีอาหาร จึงจากไปด้วยความผิดหวัง!..
วันนี้ ทะเลราบเรียบเหมือนในคลอง ลมทะเลพัดเพียงเบาๆ รอบๆลำเรือ 360 องศา ไม่เห็นสิ่งใดที่บ่งบอกว่าเป็นแผ่นดิน ไม่เห็นเกาะ ไม่เห็นเรือชนิดใดๆ ผมคิดอยู่ในใจอย่างระแวง นี่เรายังอยู่บนเส้นทางเดิมหรือว่าหลงหลุดออกมากลางมหาสมุทรแปซิฟิกเสียแล้วก็ไม่รู้!??..
พอหลังเที่ยงอากาศค่อนข้างร้อนกว่าทุกวันที่ผ่านมา พวกเรากินอาหารเที่ยงกันเกือบบ่ายสอง หลังจากอาหารเที่ยงไม่มีใครเอนหลังเพราะอากาศร้อน จึงนั่งคุยกันเรื่องสรรพเพเหระ เล่านิทานกันบ้าง ทายปัญหากันบ้าง เรื่องเซ็กซี่โป๊ะๆเปลือยๆบ้าง ตลกโปกฮาบ้าง ว่ากันไปตามเรื่องเท่าที่ใครนึกอะไรขึ้นมาได้
เมื่อหมดมุข มีใครคนหนึ่งถามกัปตันไก่ขึ้นมาว่า “วันนี้เราจะถึงเกาะแตงก์โกล์ซักกี่โมง?”
กัปตันไก่ ตอบสั้นๆว่า “ไม่เกินค่ำและเราจะพักนอนที่นั่น” แล้วก็คุยเรื่องอื่นกันต่อ
ผู้โดยสารที่ไม่ต้องจอดรับ
สักพักหลังจากนั้น ผมสังเกตเห็นนกนางแอ่นทะเล บินมาเกาะที่แคมเรือด้านซ้าย กัปตันไก่เป็นคนเดินไปจับนกตัวนั้น มันไม่บิน ไม่ขยับตัวหนี จึงจับใส่อุ้งมือมาอย่างง่ายๆ
ผมหมดแรงจริงๆ คับ..
กัปตันไก่ วางมันลงบนโต๊ะอาหาร มันก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ไม่พยามยามจะเดินหรือบินหนี
กัปตันไก่ พูดว่า “มันออกมาไกลจนหมดแรงจะบินกลับฝั่ง ให้มันพักหายเหนื่อย พอเราไปใกล้เกาะ มันจะบินไปเอง”
ผมขออาศัยไปด้วยนะคับ
โห..นี่เราออกมาไกลถึงขนาด นกนางแอ่นที่ว่าแน่ๆ ยังหมดแรงบินเลยรึ?
แล้วนี่ ถ้าเรือเกิดเสียจนซ่อมไม่ได้หรือเป็นอะไรถึงขั้นอับปางลงแถวนี้ คงได้เป็นผีเฝ้าทะเลสถานเดียว ผมคิดอย่างเสียวสยอง
และก็อีกหนึ่งผู้โดยสาร ที่ไม่ต้องจอดรับ
อีกไม่นานต่อมา มีนกทะเลอีกตัว(ผมไม่รู้จักชื่อ) ขนาดโตกว่านกนางแอ่น บินมาเกาะกราบซ้ายของเรือ ที่เดียวกับที่นกนางแอ่น บินมาเกาะก่อนหน้านี้
รายนี้ยังพอมีแรงบินหนีขึ้นไปเกาะบนหลังคา ไม่ยอมให้จับ
กัปตันไก่เดินเข้าไปเพื่อจะจับ แต่เจ้าตัวนี้ไม่ยอมให้จับ มันยังพอมีแรงที่จะบินหนีขึ้นไปเกาะอยู่บนหลังคาผ้าใบ จึงปล่อยให้มันอยู่ตรงนั้นตามอัธยาศัย โดยไม่มีใครไปรบกวน
เป็นอันว่าเรามีเพื่อนร่วมทางไปเกาะแตงก์โกล์ เพิ่มมาอีกสอง ทั้งที่เพื่อนทั้งสองนั้นไม่ได้เต็มใจจะมาเป็นเพื่อนร่วมทางกับเราเลย แต่เพราะความห่างไกลจากแผ่นดินและเกาะ พวกมันไม่มีทางเลือกจึงจำยอมร่วมทางกับพวกเรา ที่หน้าตาแต่ละคน แยกกันไม่ออกกับโจรสลัดช่องแคบมะละกา
ช่วง 4 โมงเย็น บังใจ รับเวรถือท้าย พวกเรานั่งเหม่อมองทะเล ความคิดล่องลอย
เรือแล่นมาพักใหญ่ๆ เราเริ่มมองเห็นหมู่เกาะลิบๆ ทางด้านหัวเรือ ผมได้ยินเสียงกระพือปีก พึบๆ บนหลังคา เพื่อนของเราที่อยู่บนหลังคาตัวนั้นโผบินออกไปแล้ว และอีกไม่กี่นาทีต่อมาก็ตามติดด้วยนางแอ่นตัวน้อย...
ขอให้โชคดีเพื่อน จงกลับไปหาครอบครัวที่กำลังรอคอย ถึงจะไม่ได้อาหารกลับไป แต่ก็ยังมีชีวิตกลับไป
ผมอวยพรให้พวกมันในใจ หลังจากที่พวกมันบินไปจนลับจากสายตา...
มีแต่พวกเรา 6 ชีวิต ที่ยังไม่รู้ว่าจะได้กลับไปถึงผู้ที่รอคอยหรือไม่???..
บางมุมของเกาะแตงก์โกล์
เกือบ 6 โมงเย็น เรามาถึงด้านทิศตะวันตกของเกาะแตงก์โกล์
กัปตันไก่ ถือท้ายแทนบังใจ บังคับเรือแล่นช้าๆ เข้าไปในอ่าว ที่มีเรือยอช์ท เรือทัวร์ดำน้ำและเรือท่องเที่ยว ผูกทุ่นลอยลำอยู่นับเป็นสิบลำ
กัปตันไก่ ค่อยๆ พาเรือเข้าไปเพื่อจะผูกเทียบกับเรือตำรวจน้ำของมาเลเซีย ที่ผูกทุ่นอยู่ลำเดียวโดดๆ
แต่เมื่อเข้าไปใกล้พอที่จะโยนเชือกได้ กลับมีมนุษย์ผู้ชายหน้าดำมะเมื่อม โผล่ออกมาจากในเรือลำนั้น
ตะโกนเป็นภาษาอังกฤษพอแปลเป็นไทยได้ว่า “โน โน ห้ามเทียบกับเรือลำนี้”..
"ห่า..ไอ้ฉิบหาย" กัปตันไก่ สบถด้วยความขัดใจ พร้อมกับเข้าเกียร์ถอยหลังและเร่งเครื่องเต็มที่...
***รอติดตามตอนต่อไปว่ากัปตันไก่จะตัดสินใจอย่างไร***
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น