วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2567

ปฐมบทแห่งการ "ลุยทะเลโหด" (กันยายน 2551)



     “คืบก็ทะเล ศอกก็ทะเล” คนโบราณเคยพูดไว้นานหลายศตวรรษ หรือแม้แต่ลูกทะเลแท้ๆก็ยังพูดว่า “ทะเลไม่ใช่ที่อยู่ของคน” ซึ่งหมายความว่า เป็นสถานที่ ที่ไม่น่าไว้วางใจ เป็นสถานที่ ที่ไม่มีใครสามารถหยั่งรู้ได้ ว่าอะไรจะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และอย่างไร มันมีอันตรายทุกคืบ ทุกศอกและไม่ใช่ที่ ที่มนุษย์จะอยู่ได้จริงๆ

     ทะเลยามสงบ ประดุจสาวสวยกำลังหลับใหล สดใส งดงาม มีเสน่ห์น่าสัมผัส น่าใกล้ชิด แต่เมื่อยามใดที่เธอตื่นขึ้นมา เราไม่สามารถจะรู้ได้ว่าอารมณ์ของเธอจะเกรี้ยวกราด อาละวาดขึ้นมาตอนไหน?..และร้ายกาจเพียงใด?..

     ทะเล อันดามัน ก็เช่นกัน เมื่อยามหน้าไฮซีซั่น แลดูสงบ สดใส สวยงาม ใครๆก็ปราถนาจะมาสัมผัสสักครั้งในชีวิต ถึงแม้จะอยู่ไกลแสนไกลหลายพันไมล์ แต่ในทางกลับกัน เมื่อโลว์ซีซั่นมาถึง ใครๆหนีห่าง ต่างไม่อยากเข้าใกล้.

     อันดามัน โลว์ซีซั่นปีนี้ก็เหมือนทุกปีที่ผ่านมา นักท่องเที่ยว ค่อยๆหายไป จนกระทั่ง ชำนาญ ณ อันดามัน จำต้องหยุดกิจการงานทัวร์ มานั่งๆนอนๆอยู่ที่บ้านเหมือนทุกปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ ไม่มีโปรแกรมไปเที่ยวที่ไหน เพราะปัจจัยไม่อำนวย

     กระทั่งประมาณ ต้นเดือนกันยายน 2551 น้องชายผม (จริงๆ แล้ว เป็นลูกพี่ ลูกน้อง เป็นลูกของน้าสาว ที่ผมเคยอุ้มมาตั้งแต่ยังแบเบาะ) วงการ “เรือยอช์ท” ย่านฝั่งทะเล “อันดามัน” เป็นที่รู้จักกันดีใน ฉายา กัปตันไก่”.

     ไอ้เจ้ากัปตันไก่คนนี้มีอาชีพเป็น "มือปืนรับจ้าง" ครับ แต่ไม่ใช่มือปืนรับจ้างไปยิงใครที่ไหหรอก หากรับจ้างเป็นกัปตันนำเรือยอช์ท ประเภทต่างๆ จากภูเก็ต ไปส่งตามจุดหมายปลายทางต่างๆ เช่น ที่ ลังกาวี,ปีนัง,สิงค์โป มาเลเซีย,อินโดนีเซีย,เกาะสมุย,พัทยา ซึ่งแล้วแต่ ผู้ว่าจ้าง จะให้แล่นไปส่งที่ไหนหรือจากที่อื่นมาภูเก็ต จึงเรียกว่าเป็น "มือปืนรับจ้างขับเรือยอช์ท" ว่างั้นเถอะ อัตราค่าจ้าง ก็แล้วแต่ ความยากง่าย ใกล้, ไกลและเท่าที่ผมรู้เป็นตัวเลขหลายหลักครับ

     สำหรับการเดินทางแต่ล่ะครั้งเขาจะเป็นผู้จัดหา เลือกเฟ้น ลูกเรือและทีมงานด้วยตัวเอง ซึ่งสิ่งนี้เป็นเรื่องธรรมดาที่ กัปตัน คนไหนก็จะต้องจัดการสรรหา คนที่เขารู้จัก รู้ใจ มีประสบการณ์ มีฝีมือและใจถึงไปลงเรือลำเดียวกัน เพราะอยู่กลางทะเล ต้องฝากชีวิตไว้ด้วยกัน เป็นการทำงานแบบ “ทีมเวิร์ค


.
กัปตันไก่
--------------------------------
     มีอยู่วันหนึ่ง “กัปตันไก่”โทรศัพท์ มาหาผมตอนสายๆ ถามผมว่า “ช่วงนี้พี่สาม ว่างมั๊ย? ถ้าว่าง จะพาไปลงเรือแล่นจากเกาะสมุย-มาเลย์ฯ-สิงคโปร-ภูเก็ต ไปเที่ยวด้วย หาประสบการณ์ด้วย และได้ money ใช้ด้วย” ผมหูผึ่งทันทีเลยครับพี่น้อง

     รีบถามกลับไปว่า “จะไปเมื่อไหร่?”

หมายเหตุ...ชื่อเล่นของผมคือ "สาม" แต่ดันเกิดเป็นคนแรกในจำนวนพี่น้อง 6 คน

     กัปตันไก่บอกว่า “ไปปลายเดือนกันยาฯนี่แหละ ประมาณ 7-8 วัน ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศ คลื่นลม จะหนักหรือเบา ”
     ผมตอบตกลงทันทีไม่มีลังเล โอกาสแบบนี้ หาง่ายๆ เสียที่ไหนล่ะครับท่าน ได้แล่นเรือท่องเที่ยวเก็บเกี่ยวประสบการณ์และที่สำคัญได้เงินใช้ด้วย
     หลังจากผมตอบตกลง กัปตันไก่จึงบอกให้ผมไปทำ SEAMAN BOOK  ให้เรียบร้อย ภายใน 2-3 วัน จะโทรมาบอกผมอีกที เมื่อมีกำหนดวันเดินทางที่แน่นอน

     ...(Seaman Book เป็น สมุดประจำตัวลูกเรือ Sailing in territorial waters ใช้ขึ้นท่าเรือสากล International port marina ต่างๆ คล้ายๆ พาสปอร์ต Passport )..

     วันรุ่งขึ้น ตอนสายๆ ผมรีบไป ที่สำนักงานเจ้าท่าภูเก็ต (Phuket Harbour Department) จัดการ ยื่นคำร้อง ขอทำหนังสือ SEAMAN BOOK พร้อมหลักฐาน รูปถ่าย สำเนาบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน สมุดประจำตัวทหารกองหนุน อันหลังนี้จริงๆ แล้วเขาไม่ต้องการหรอก แต่ ผมคิดว่าจะเป็นประโยชน์กับผม ไม่มากก็น้อย

     ซึ่งก็จริงตามที่ผมคิด เมื่อเขาเห็นบันทึกประวัติ การเป็นทหารเรือของผมที่เคยอยู่ในสังกัดเหล่า ทหารสื่อสาร กองเรือยุทธการ เคยปฏิบัติภารกิจทางทะเลมากมายกับเรือรบหลายลำ ทั้งทางฝั่ง อ่าวไทย และ ฝั่งทะเล อันดามัน เจ้าหน้าที่ จึงไม่ต้องทดสอบ สัมภาษณ์ ผมมากมายให้เสียเวลา
     ไม่ถึงชั่วโมง ผมก็ได้ SEAMAN BOOK มาเป็นของตัวเองเรียบร้อย

      ผมโทรบอก “กัปตันไก่ ” ว่า ผมมีทุกอย่างพร้อมแล้ว มันรับรู้และบอกให้ผมรอการติดต่อกลับ ซึ่งขณะนั้น มันบอกผมว่า กำลังติดต่อ ทาบทาม หาคน ที่จะไปรวมงานเป็น (Team work sailing) ในครั้งนี้.

SEAMAN BOOK
-----------------------
      กลางเดือน กันยายน ทางฝั่ง ทะเล อันดามัน ยังมี ลม, ฝน, พายุ หนักหน่วงหนาแน่น
“กัปตันไก่” โทรบอกผมว่า จะออกเดินทางจาก ภูเก็ตวันที่ 17 กันยายน เพื่อไป เกาะสมุย และจะเริ่มแล่นเรือ จากเกาะสมุย วันที่ 18 กันยายน 2551 และคงจะกลับถึง ภูเก็ต ไม่เกิน วันที่ 25 ตุลาคม ซึ่งเป็นการแล่นเรือ ตามปกติ 8 วัน 7คืนโดยประมาณ
     ช่วงระยะเวลา 2-3 วัน ก่อนถึงวันเดินทาง ผมรู้สึกตื่นเต้นนิดๆ กับการที่จะได้ล่องทะเลเป็นระยะทางไกลๆ อีกครั้ง หลังจากที่ได้ปลดประจำการ จากกองทัพเรือมาหลายสิบปี

     ผมตระเตรึยม เสื้อ ผ้า สำหรับการอยู่ในเรือ ของใช้ส่วนตัวที่จำเป็น และที่ขาดไม่ได้ คือ หลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืด หลังเตารีด ปี 05 ซึ่งการใช้ชีวิตตามปกติ ผมจะไม่นิมนต์ท่าน แต่การเดินทางครั้งนี้ ผมอาราธนานิมนต์ท่าน ล่วงหน้าเลยทีเดียว
     วันที่ 17 กันยายน 54 ผมและ"กัปตันไก่ ขึ้นรถบัสของ "บริษัทพันทิพย์" (โดยซื้อตั๋วรวมค่าเรือเฟอรี่ ดอนสัก-สมุย รวมในใบเดียวกัน) ที่สถานีขนส่งภูเก็ต รถออกเวลา 07.00 เช้ามืด มุ่งหน้าไป อำเภอดอนสัก จังหวัด สุราษฎร์ธานี ถึง ท่าเรือเฟอรี่(Donsak Ferry Harbour) ประมาณเที่ยง เราลงเรือ Ferry เดินทางจากท่าเรือ ดอนสัก ไปท่าเรือเกาะสมุย ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ที่มีผู้โดยสารส่วนใหญ่เป็นฝรั่งนักท่องเที่ยว



เรือเฟอรี่ ดอนสัก-เกาะสมุย

     เมื่อเรา มาถึง ท่าเรือเกาะสมุย Samui Pier ได้พบกับทีมลูกเรืออีก 4 คน ซึ่งมาถึงก่อนหน้ารออยู่แล้ว แต่ล่ะคนยังหนุ่มแน่น รูปร่าง กำยำล่ำสัน เหมาะกับงานนี้จริงๆ พวกนั้นมากับ Ferry ก่อนหน้าเรา หนึ่งเที่ยว พวกเขาทักทาย "กัปตันไก่"อย่างคนคุ้นเคย แต่มองผมอย่างสงสัยและคงคิดว่า หมอนี่ เป็นใคร? มาจากไหน? และมาทำอะไร?..

     "กัปตันไก่" จึงแนะนำบอกชื่อเสียง เรียงนามของผมกับพวกนั้น และตบท้ายว่าผมเป็นพี่ชาย พาไปเที่ยวด้วย ไม่ต้องห่วง เป็นงานและใจถึง นั่นแหละ พวกเขาจึงมีท่าทาง คลายใจ เข้ามาทักทาย แนะนำตัว พูดคุยทำความรู้จักกัน  หลังจากนั้นไม่นาน พวกเราทั้งหมดก็นั่งรถกะบะที่มีคนมารับ จาก Ferry Pier ไปยังท่าเรือ เพ็ชรรัตน์  อยู่ที่ ตำบลบ่อผุด ทางด้านทิศเหนือของเกาะสมุย อันเป็นท่าจอด เรือยอช์ท(จั้งค์) ลำที่จะพาผมไป "ลุยทะเลโหด" ในคราวนี้

     เมื่อเรามาถึงที่ท่าเรือ ผมสังเกตุเห็นทีมลูกเรือชุดเก่ากำลังวุ่นวาย ขนย้ายเสบียง อาหาร ต่างๆลงเรือกันอยู่ พร้อมทั้งน้ำจืดและน้ำมัน ดีเซล สำรอง อันนี้สำคัญมาก ผมมารู้ทีหลังว่า Yacht ลำนี้ นอกจากใช้ใบแล่น ยังแล่นด้วยเครื่องยนต์ดีเซลได้ด้วย แต่ใช้ความเร็วได้เพียง 5 น๊อต เท่านั้น

     สำหรับทีมลูกเรือชุดเก่าทีมนี้เป็นพนักงานในสังกัดของบริษัทที่ทำงานประจำกับเรือและจะกลับ ภูเก็ต โดยทางรถยนต์ ในวันรุ่งขึ้น

     ***ผมมารู้ทีหลังว่า พนักงานประจำเรือชุดนี้ไม่สามารถพาเรือกลับผ่านทางสิงคโปร์และช่องแคบมะละกาได้ เนื่องจากมีขีดจำกัดหลายประการ***
     สำหรับ พวกเรา 6 ชีวิต ย่ำค่ำวันนั้น ลงมือตั้งวง สังสรรค์ พูดคุย ทำความรู้จักกัน (เฉพาะผมเท่านั้น คนอื่นๆ เขาสนิทกันมาก่อนแล้ว) และวางแผนการเดินทางกันจนหมดเหล้า ไป 3 ขวดใหญ่ จึงได้แยกย้ายกันเข้านอน พักผ่อนในเรือ เพื่อรอวันรุ่งขึ้น ซึ่งยังจะต้องจัดเตรียม อะไรอีกมาก กับการ “ ลุยทะเลโหด ” ท่ามกลาง มรสุมตะวันออก ที่ยังไม่หมดและ มรสุมตะวันตก ที่ยังหนักหน่วงรุนแรง ซึ่งยังไม่รู้ว่า ทีมเดนตายทั้ง 6 ชีวิตนี้ จะได้พบ ได้เจอกับอะไรบ้าง จะไปถึงจุดหมายปลายทางตามกำหนดเวลาหรือไม่? หรือ อาจจะไปไม่ถึง.!? ใครจะรู้ได้ !?..

  ...โปรดติดตาม ตอนต่อไป...
      ชำนาญ ณ.อันดามัน

--------------------------------------------------------

วันพุธที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2567

วันแรกของการ "ลุยทะเลโหด" สมุย-สงขลา(18 ก.ย.51)



"เรือสุวรรณมัจฉา" ที่จะพาพวกเรา ล่อง แล่น ลุย "ทะเลโหด"


   วันที่18 กันยายน 2551 พวกเรา ทั้ง 6 คน ตื่น กันตั้งแต่เช้ามืด อากาศสดใส ดีมาก ทำให้ทุกคนสดชื่น กระปรี้ กระเปร่า ไม่มีใครมีอาการแฮ้งค์ จากการจัดหนักเมื่อคืน เป็นธรรมดาของลูกทะเล ทุกคนมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงและอยู่ในวัยหนุ่มฉกรรจ์ ยกเว้น ผู้เขียน อายุเกินครึ่งศตวรรษ 
(ซึ่งใครๆก็ต้องเรียก พี่สาม ฮ้า..ฮ้า)

ผู้เขียน ดูจะกลมกลืนจนแยกไม่ออกว่า ไทย หรือ โจรสลัด
หน้าตา ของ "พี่สาม" และ ทีมเดนตาย ที่เหมือนโจรสลัด ช่องแคบ มะละกา ไม่มีผิด
ภาพนี้ถ่ายที่ เกาะเล็กๆ เขตรัฐตรังกานู มาเลย์เซีย ตอนเย็นวันที่ 4 ของการเดินทาง
------------------------------

จากการ ได้สังสรรค์ เสวนากันเมื่อคืนที่ผ่านมา ผมพอจะสรุปได้คร่าวๆ ว่าใคร? ทำหน้าที่อะไรกันบ้าง? ขอแนะนำกันพอเป็นสังเขป น่ะครับ.



ทีมงาน "ลุยทะเลโหด"

กัปตันไก่ กับมาดกวนๆ

1. กัปตันไก่ ทำหน้าที่ กำหนดแผนการเดินเรือ เส้นทางเดินเรือ นำเรือออกจากท่า และ เทียบท่า

2. คุณบันเทิง ทำหน้าที่ เป็นต้นเรือ รับผิดชอบอุปกรณ์การใช้งานภายในเรือ

3. บังหมาน ทำหน้าที่ ช่างเครื่อง ที่ 1

4. ยุทธ ทำหน้าที่ ทั่วไปและช่างเครื่อง ที่ 2

5. บังใจ ทำหน้าที่ทั่วไป

6. ชำนาญ ณ.อันดามัน (พี่สาม)ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง ฮ้า...

----------------------------------------
กฎ กติกา มารยาท ขณะอยู่บนเรือ

• ทุกคนทำหน้าที่ ถือท้ายเรือ ผลัดล่ะ 2 ชั่วโมง ผมเองก็ไม่ยกเว้น (เอาล่ะว่ะ ได้ชนกับเครื่องบิน วินาศสันตะโรมั่งหล่ะ เที่ยวนี้)

• กุ๊ก ทำอาหาร ใครก็ได้ ไม่เกี่ยง

• กรณี มีเหตุฉุกเฉิน เช่นเรือโดนพายุ คลื่นลมแรง ทุกคน ต้องทำหน้าที่ช่วยเหลือกันทุกตำแหน่ง
และห้ามกลัว (ข้อนี้ผมตั้งเอง ใช้ส่วนตัว อิ อิ..)

...แนะนำ กันเสร็จสรรพ พร้อมกฎ กติกา มารยาท (ซึ่งยังมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกมากมาย จะเล่าเป็นระยะๆ) ดำเนินเดินเรื่องกันต่อไป
------------------------------------

ดำเนินเรื่องต่อไป

           หลังจากล้างหน้า ล้างตา กินกาแฟ และวางแผน กันว่าให้ กัปตันไก่, บังใจและผม(ผู้เขียน) ไปหาซื้อเบ็ดตกปลา และ เหยื่อปลอม ในตลาดเกาะสมุย (คันเบ็ด,เบ็ดและสายเบ็ดมีอยู่แล้ว) ถามว่า ทำไมผมจะต้องไปด้วย ? เพราะผมต้องขับรถ ที่จะเช่าเอาบนฝั่ง ตรงทางเข้าท่าจอดเรือนั่นแหละ (คนอื่นไม่มีใบขับขี่เพื่อเช่ารถ) ส่วน บังหมาน กับ คุณบันเทิง ไปหาซื้อ เสบียง อาหาร ของใช้จำเป็นเพิ่มเติม และที่ขาดไม่ได้คือ วิสกี้กับโซดา(คอทองแดงทั้งนั้น) ส่วน ยุทธ รับหน้าที่ทำอาหารไว้รอพวกเรากลับมากินพร้อมกัน

      กระทั่งเกือบเที่ยงทุกคนก็กลับมาถึงเรือพร้อมกับของที่ต้องการครบถ้วน จึงได้ร่วมวงกินข้าวเช้า พร้อมๆไปกับการพูดคุย วางแผนการออกเดินทางของวันแรกนี้ 4 คน (ยกเว้นผมเพราะไม่รู้เรื่อง ฮิ.ฮิ.)

ทุกคนลงความเห็นว่า กินข้าวเสร็จก็ออกเรือได้ทันที(ประชาธิปไตยนิดหน่อย) แต่ กับตันไก่บอกว่า น่าจะได้ออกเดินทางช่วงบ่ายๆ เพราะต้องรอการโอนเงินค่าน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการเดินทาง จากผู้ว่าจ้างต้นทางภูเก็ต(อันนี้เผด็จการชัดๆ)

                     เป็นอันว่ากินข้าวเสร็จ ทุกคนเอกเขนกอยู่ในเรือเพื่อรอเวลา ด้วยอาการปกติของพวกเขา ส่วนผมมีอาการตื่นเต้นเล็กน้อยถึงปานกลาง มากไม่ได้กลัวเสียฟอร์ม ฮ้า.

          บ่ายสองโมงเศษ กัปตันไก่ โทรสอบถามทางภูเก็ต เรื่องเงินค่าน้ำมัน ปรากฏว่ายังไม่ได้โอน เพราะมีเหตุขัดข้องทางเทคนิคบางประการ กัปตันไก่จึงแจ้งให้ทุกคนรับรู้และเปลี่ยนแผน ไปรับโอนที่จังหวัดสงขลาในวันรุ่งขึ้น พร้อมกับบอกทุกคนให้เตรียมตัวออกเรือ

-----------------------------------

บ่าย 3 โมงตรง วันที่ 18 กันยาน 2551

       ฤกษ์งาม ยามดี เรือสุวรรณมัจฉา ก็หลุดจากพันธนาการของเชือกเส้นสุดท้ายที่ผูกอยู่ตำแหน่งหัวเรือ เดินเครื่องเบาๆ นำ 6 ชีวิตแล่นออกจากท่าเรือ เพ็ชรรัตน์ ตำบลบ่อผุด อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี อย่างอ้อยสร้อย เอื่อยเฉื่อย เหมือนอาลัยอาวรณ์และไม่อยากออกไปผจญกับความร้ายกาจที่รออยู่ข้างหน้า หลังจากมาตรากตรำรับใช้นักท่องเที่ยวอยู่ที่นี่ หกเดือนเต็ม **เป็นการเริ่มต้น “ลุยทะเลโหด” ณ บัดนั้น.

ท่าเรือเพชรรัตน์ เมื่อบ่ายวันที่ 18 กันยายน 2551 อากาศสดใส ทัศนวิสัยงดงาม

ท่าเรือเพ็ชรัตน์ อ่าวบ่อผุดอยู่ทางด้านทิศเหนือของ เกาะสมุย 
(ดูแผนที่ประกอบ) กัปตันไก่ พล็อตเข็มมุ่งหน้าขึ้นเหนือก่อนเป็นพล็อตแรก

แผนที่เกาะสมุย

ด้านหลังของพระใหญ่ ที่อ่าวบ่อผุด เมื่อมองจากทะเล



อ่าวบ่อผุด เต็มไปด้วยโรงแรม รีสอร์ทหรูหรามากมาย

        เมื่อเรือแล่นออกจากท่า มาได้ประมาณ 1 ชั่วโมง กำลังจะผ่านพระใหญ่ มีเสียงหวีดดดด..ยาว คล้ายๆ สัญญาณเตือนภัย มาจากส่วนหนึ่งส่วนใดของเรือ(ซึ่งผมไม่รู้) กัปตันไก่ ลดความเร็ว ปลดเกียร์ ปล่อยให้เรือแล่นไปด้วยแรงเฉื่อย จากนั้นหันไปถาม บังหมาน(ช่างเครื่อง) ว่า “เกิดอะไรขึ้น ?”

           บังหมาน ตอบกลับมา แบบหน้ายิ้มๆ (ตามบุคลิก)ว่า “ยังไม่รู้ ขอลงไปดูในห้องเครื่องก่อน” ก่อนจะเดินลงไปเปิดฝาห้องเครื่อง ดูโน่น ดูนั่น ประมาณ 1-2 นาที จึงโผล่ขึ้นมาตะโกนบอกให้ กัปตันไก่ดับเครื่องยนต์ เสียงหวีด จึงได้หยุดดัง

      บังหมาน รายงานขึ้นมาว่า ท่อน้ำสำหรับระบายความร้อนเครื่องยนต์มันตัน (หมายเหตุ จากผู้เขียน.. เรือที่ใช้เครื่องยนต์ ต้องมีท่อดูดน้ำจากทะเลเข้ามาหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์เพื่อระบายความร้อน ถ้าไม่มีน้ำระบายความร้อน เครื่องยนต์จะร้อนเกินพิกัดและเครื่องยนต์พังทันที) นั่นคือสาเหตุ ที่ทำให้มีเสียง หวีดดด เป็นสัญญาณเตือน

       ผมคิดอยู่ในใจว่า เอาล่ะสิ.! ดูท่า การเดินทางครั้งนี้จะไม่ โสภาสถาพร เสียแล้วสิ แค่เรือออกจากท่ามาได้ชั่วโมงเดียว ต้องลอย เท้งเต้งซะแล้ว ยังเหลือระยะทางอีกเป็นพันไมล์ กว่าจะถึงจุดหมายปลายทาง จะต้องลอยเท้งเต้ง อีกกี่ครั้ง และจะมีโอกาสลอยไปโดยไม่มีทิศทางหรือไม่? 
คิดแล้วเสียว.!!

ผมเริ่มท่อง คาถา”หลวงปู่ทวด” ทันที “ นะโม โพธิสัตโต อะคันติมายะ อิติ 
ภะคะวา” ท่องไปเรื่อยๆ โดยไม่มีกำหนดว่า กี่ร้อย กี่พันครั้ง “นะโม โพธิสัตโตฯ.....”

    เริ่มเรียกน้ำย่อย แล้วล่ะครับท่านๆ มิตรรัก นักชม ติดตามกันต่อไป ว่าจะมีเมนูอะไร ทะยอยออกมาเสิร์ฟ ให้ได้ลิ้มรส เผ็ด ร้อน เปรี้ยว หวาน มัน เค็ม กันบ้าง ได้หรอยจังหูกันหละ พ่อแม่ พี่น้อง เหอ..


ช่างเครื่องที่1 บังหมาน

กับช่างเครื่องที่2 ยุทธ

         บังหมาน กับ ยุทธ ก้มๆ เงยๆ คลายๆ ขันๆ น๊อตต่างๆ อยู่ที่เครื่องยนต์ ประมาณ 20 นาทีเห็นจะได้ (ขณะที่เรือก็ลอยตามคลื่นไปเรื่อยๆ) จึงตะโกนบอกให้ กัปตันไก่ติดเครื่องยนต์

   ไม่มีเสียงหวีด เสียงเครื่องยนต์ดังปกติ บังหมาน ตะโกนแข่งกับเสียงเครื่องขึ้นมาว่า OK ไปได้..

   กัปตันไก่ เข้าเกียร์ เร่งเครื่อง หันหัวเรือหาทิศทาง แล้วค่อยๆเร่งจนได้ระดับความเร็วเดินหน้าเต็มที่ (5 น๊อตเท่านั้น ฮ้า.) ...ผมสังเกตดูทุกคนอาการปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น 
นี่..พวกมันจะมีความรู้สึกตื่นเต้นกันบ้างตอนไหนว่ะ..  
ผมรู้สึกสงสัยขึ้นจริงๆ..


พระใหญ่ ไกลออกมาทุกที

             กัปตันไก่ ถือท้ายขึ้นเหนือ แล้วค่อยๆเลี้ยวขวา อ้อมแหลมสำโรง ผ่านหาดเชิงมน อ่าวเฉวงใหญ่ กระทั่งประมาณ 5 โมงเย็น หัวเรือมุ่งหน้าลงใต้ จึงพล็อตเข็มไปที่จังหวัดสงขลา
..กัปตันไก่บอกว่า ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดคงถึงสงขลาตอนเย็นๆ ของวันรุ่งขึ้น

         จากนั้นหันมาบอกให้ผมทดลองถือท้ายเรือ เพราะเห็นว่าทัศนวิสัยดี ไม่มีคลื่น และทะเลกว้าง (เหตุผล บ้าๆ ทะเล มันก็กว้างอยู่แล้วเพ่) ส่วนตัวกัปตันไก่ ทำการตั้งค่า GPS ให้ตรงกับแผนที่(ซึ่งมีอยู่แผ่นเดียวกับการเดินทางครั้งนี้) และเข็มทิศเดินเรือ และแนะนำผมถึงวิธีการถือท้ายเรือ กับการดู GPS กระทั่งผมเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แล้วหมอก็ลงนอนเขลงอยู่ข้างหลังผม ปล่อยให้ผมถือท้าย เป๋ไป เป๋มา เหมือนคนเมาเหล้าขาว

 เป็นพักๆ จะผงกหัวขึ้นมาดูทิศทางสักที พอเห็นว่าทะเลยังกว้างก็เอนหลังต่อ เฮ้อ..ทะเลมันกว้างจริงๆครับพี่น้อง เพราะเมื่อผมหันไปมองด้านหลัง เกาะสมุยที่เคยเห็นอยู่ด้านท้ายเรือมันอันตรทานหายไปแล้ว.!.

ผมถือท้ายเป็นครั้งแรก เกร็งไปทั้งตัว กลัวจะชนกับเครื่องบิน ฮา ฮา

กัปตันไก่นอนเขลงอยู่ข้างๆ
      ส่วนคนอื่นๆ บังใจ กำลังเตรียมเบ็ดและเหยื่อปลาหมึกปลอม ตัวเท่าข้อมือที่เพิ่งซื้อ มาจากตลาดเกาะสมุยเมื่อเช้า เพื่อปล่อยลงน้ำให้เรือลากไปเรื่อยๆ(ที่เรียกกันว่า Trolling) เผื่อจะมีปลาโง่ๆ ซักตัวมาไล่งับ แล้วจะกลายเป็นอาหารของพวกเรา 
คุณบันเทิง ผูกมัดแกนลอนน้ำมันสำรองให้แน่นหเก็บเสื้อชูชีพเข้าที่เข้าทางเผื่อหยิบฉวยมาใช้ได้ง่าย ยามฉุกเฉิน
บังหมาน จัดเก็บตรวจสอบเครื่องมือและเครื่องยนต์เพื่อความมั่นใจ ในการเดินทางกลางคืน
ยุทธ รับหน้าที่เป็น กุ๊ก อีกครั้งทำอาหารมื้อแรกของการเดินทาง


กุ๊ก ยุทธ กำลังปรุงอาหารมื้อแรกของวันนี้
ยังเป็นตอนเย็น ของวันที่ 18 ก.ย.51

            ผมถือท้ายเรือประมาณ 1 ชั่วโมง บังหมาน ก็มารับช่วงต่อจากผม อาหารเย็นเสร็จพอดี ยุทธ ทะยอยส่งขึ้นมา ตั้งวงบนดาดฟ้า ใกล้ๆ ที่ถือท้ายเรือนั่นแหละ เป็นเวลาที่ ดวงอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าพอดี บรรยากาศบนดาดฟ้าเรือยอช์ท บรรยายไม่ถูกจริงๆ การมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากบนฝั่ง กับการมองดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าจากกลางทะเล ความรู้สึกแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เศร้าสร้อย โหยหาและว้าเหว่ อย่างไรบอกไม่ถูก 
“พรุ่งนี้เรายังจะได้เห็น ดวงอาทิตย์ขึ้นอีกมั๊ยหนอ.?” ผมรำพึง.

อาทิตย์ลับฟ้า เมื่ออาหารมื้อแรก

    อาทิตย์ ลับฟ้า จะโหยหา ถึงใคร ในเมื่อเราไม่มีใคร.?ให้โหยหา.
วันพรุ่ง ยังจะมีโอกาส ได้เห็นดวงอาทิตย์อีกหรือไม่.?ไม่มีใครรู้.
พระเจ้าองค์ไหน บอกได้.? ช่วยบอกที..

      ก่อน Dinner (ความจริงกินข้าวมื้อเย็น เขียนให้โก้ๆ เข้าไว้) มีการเรียกน้ำย่อยกันนิดหน่อย พอหอมปาก หอมคอ ได้ยินใครบางคนพูดว่า ถ้าสภาพอากาศเป็นแบบนี้ ตลอดเส้นทางจนถึงภูเก็ตก็คงจะดี 
ผมก็หวังว่าจะเป็นแบบนั้นเหมือนกัน

อาหารมื้อแรกของการเดินทาง"ลุยทะเลโหด"ก่อนค่ำ เรียบง่ายและเป็นกันเอง
   เอ๊ะ.! ใครถือท้ายเรือ อ้อ..บังหมานนั่นเอง มานั่งตักบุฟเฟ่อยู่นั่น ปล่อยให้เรือไปตามยถากรรมเสียงั้นแหละ มั่นใจว่าไม่ชนกับอะไรแน่ๆ (เพราะทะเล มันกว้าง ฮิ ฮิ )

   จบ Dinner มื้อนั้น ทุกคนพักผ่อนตามอัธยาศัยตามมุมต่างๆ ของเรือ บางคนโทรศัพท์ไปหาคนบนฝั่งบ้าง(โดยเฉพาะบังหมาน ฟังว่ามีกิ๊กคนใหม่) บ้างก็เอนหลังสูบบุหรี่ ปล่อยความคิดให้ล่องลอยไปตามกระแสคลื่น

ส่วนผม ลงไปที่ห้องนอน เพื่อจะอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสียหน่อย หลังจากผ่านไอน้ำเค็มมาทั้งวัน

--------------------------------------------------------------------
ขอพาท่านผู้อ่านชมความหรูหรา ของเรือลำนี้ พอเป็นกระษัยครับ


ด้านห้วเรือ
-------------
         ลงบันไดมาจากดาดฟ้า หันหน้าไปทางหัวเรือ ขวามือจะเห็นห้องครัว ถัดไปเป็นห้องนอน เรือลำนี้ มีห้องนอนอยู่ตอนหัวเรือ ซ้าย-ขวา 3 ห้อง ตอนท้ายเรือ 2ห้อง รวมเป็น 5 ห้องนอนพร้อมห้องน้ำ การออกแบบพื้นที่ใช้สอยลงตัวพอเหมาะ ส่วนใหญ่ประกอบด้วยไม้สัก สแตนเลส ทองเหลือง สวยงามและคลาสสิคมาก ทางด้านซ้ายมือ จะเป็นเคาเตอร์บาร์และโต๊ะอาหาร แต่ที่เห็นในรูปนี้ กลายเป็นที่เก็บสัมภาระไปแล้วครับ



ห้องนอน วี.ไอ.พี
------------------
        หันหลังกลับมาทางท้ายเรือ ด้านกราบซ้ายของเรือ(แต่อยู่ทางขวามือ) เป็นห้องที่ผู้เขียนเลือกไว้เก็บสัมภาระของใช้ส่วนตัว แต่ไม่เคยได้นอน เพราะกัปตันไก่บอกให้ผมนอนบนดาดฟ้า ด้วยเหตุผลว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นจะได้ไม่ต้องติดอยู่ในท้องเรือ เป็นเหตุผลที่ฟังดูแล้วเสียวไปถึงขั้วหัวใจ...

     เตียงนอนพอเหมาะกับ 2 คน ผ้าห่ม หมอน ตู้ใส่เสื้อผ้า กระจก ลิ้นชักเก็บของ มีหน้าต่างระบายอากาศ มีพัดลม 2 ตัว (ทุกห้องนอนไม่มีแอร์) ห้องนอนนี้ไม่มีห้องน้ำภายใน


ที่นอน หมอน ผ้าห่ม น่านอนไม่ใช่เล่น
------------------


 ห้องน้ำ
---------
เป็นยังไงครับท่านผู้ชม?. อิจฉาผมมั๊ย?.ไม่ต้องอิจฉาผมหรอก เพราะผมไม่เคยได้นอนในขณะที่เรือวิ่งตอนกลางคืนเลย ทำไมหรือครับ? กัปตันไก่ บอกผมว่ากลางคืนมืดๆ มากๆ ถ้าเรือชนกับอะไรเข้าและจมลง เรานอนหลับอยู่ในห้องท้องเรือ กว่าจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น มันก็สายเกินไป ผมฟังแล้วก็ บรือ..ๆ..ๆไม่นอนดีกว่า..!

นิดๆ หน่อยๆ พอจะจินตนาการออกนะครับ ผมอาบน้ำ อาบท่าเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดหลวมๆ เพื่อความคล่องตัว เผื่อว่ามี???...ให้คิดเอาเองครับ (เป็นคำแนะนำจาก กัปตันไก่ เหมือนกัน) แล้วผมก็ขึ้นมาบนดาดฟ้า รวมกับพรรคพวกนั่งชมแสงดาวและแสงไฟจากเรือหาปลา ที่อยู่ไกลลิบๆ ทางด้านฝั่ง (เส้นทางเรือของเรา ห่างฝั่งประมาณ 20ไมล์ทะเล) และนอนบนดาดฟ้า เหมือนคนอื่นๆ รอดวงอาทิตย์มาเยือน ในวันรุ่งขึ้น.

...ชำนาญ ณ.อันดามัน

***ติดตาม เรื่องราว "ลุยทะเลโหด" วันที่2 (19 ก.ย. 51) ต่อไปครับ***
------------------------------------------------------------------------