วันจันทร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

"ตายน้ำตื้น" 28/09/2008


ความตอนที่ผ่านมา...หลังจากแวะเติมน้ำมันและน้ำจืดที่ Port Dickson เช้าของวันที่ 27 ก.ย.2551
    เราได้มาทิ้งสมอพักเรือและพักคนที่ Port Klang เมื่อเวลาเกือบ 4 ทุ่มของคืนวันนั้น และได้ตื่นเต้น ระทึกใจกับผู้มาเยือนในยามดึก โดยไม่รู้ว่าพวกเขาเป็นใคร? มาจากไหน? และมีจุดประสงค์อันใด? แต่เหตุการณ์ก็ผ่านไปด้วยดี พวกเราจึงได้แยกย้ายกันเข้าหาที่นอน เมื่อเวลาประมาณหลังเที่ยงคืน
กระทั้งเวลาเท่าไหร่ ไม่แน่ชัด ...“หมอกาว โว้ยยยย...หมอกาววว....ตื่น ตื่น ตื่น”
เสียงตะโกนดังๆของใครสักคน..
ผมสะดุ้งตื่น ในขณะที่กำลังฝันว่าได้กอดสาวสวย หมวย อึ๋มอยู่เพลินๆ รีบลุกขึ้นจากที่นอน พร้อมๆกับที่ทุกคนลุกพรวดพราดขึ้น เมื่อได้ยินคำว่า “หมอกาว!
*“หมอกาว” คือสมอที่ทิ้งไว้ใต้น้ำ เพื่อยึดเรือขณะจอด แต่ถ้าหากมันเกิดไม่เกาะจับติดกับพื้นผิวดินหรือก้อนหินใต้น้ำ ซึ่งจะทำให้เรือเคลื่อนที่ล่องลอยไปตามกระแสน้ำหรือกระแสลม นั่นคือความหมายของ “หมอกาว” ซึ่งเป็นเรื่องที่อันตรายและเป็นเรื่องต้องระมัดระวังอย่างยิ่งสำหรับเรือที่จอดอยู่กับที่ โดยเฉพาะเรือลำใหญ่ๆ ซึ่งจะต้องจัดยามเฝ้าระวังตลอด 24 ชั่วโมง*
กับเสียงตะโกนเตือนภัยนั้น..ไม่ถึงกับชุลมุนวุ่นวาย เพราะทุกคนเป็นมืออาชีพ!
แต่ประสาทตื่นพร้อม สติมั่นคง สารอาดีนะลีนหลั่งไหลออกมาวิ่งพล่านอยู่ในกระแสเลือด!
พร้อมรับสถานณ์การทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้น...
ไม่กี่วินาที..ผมไปยืนอยู่ด้านหลังกัปตันไก่ ที่กำลังเปิดไฟ เพื่อดูเข็มทิศ ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่รู้?..
บังหมาน พรวดพราดลงห้องเครื่อง ไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น ได้ยินเสียงเครื่องยนต์เรือครางกระหึ่มขึ้น!..
บังใจกับยุทธ แข่งกันกระโดดไปหัวเรือ ที่ตำแหน่งสายโซ่สมอเรือ เตรียมกว้านสมอขึ้น!..
คุณบันเทิง ยืนอยู่ท้ายเรือ เพ่งมองกวาดไปทางปากอ่าว ที่เรือกำลังไหลตามกระแสน้ำออกไป!..
   ขณะนั้นท้องฟ้าเริ่มสว่างเลือนราง มองเห็นทัศนวิสัยภายในแม่น้ำรอบๆเรือได้ชัดเจนพอสมควร
คืนนี้เป็นคืนข้างแรมแก่ๆ
*ข้างแรมแก่ๆ ในความหมายของชาวเรือ จะอยู่ประมาณ แรม 11 ค่ำ ถึง แรม 15 ค่ำ ซึ่งเป็นช่วงวันเวลาที่น้ำทะเลจะขึ้นสูงมากและลดต่ำมาก เรียกช่วงเวลานั้นว่า “น้ำใหญ่”*
สถานการณ์เวลานี้ เป็นเวลาที่น้ำกำลังลงจัดและเชี่ยวกราก ซึ่งเป็นเวลา “น้ำใหญ่” นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ “สมอกาว”  และเจ้าเรือใบลำนี้ก็กำลังไหลตามกระแสน้ำถอยหลังออกไปทางปากอ่าวอย่างรวดเร็ว
กัปตันไก่ นิ่งมาก สมกับที่เป็นผู้นำ..เข้าเกียร์เดินหน้าและค่อยๆเร่งเครื่องช้าๆอย่างใจเย็น แบบคนผ่านประสบการณ์มาอย่างโชกโชน
จากการที่เรือไหลตามน้ำอย่างรวดเร็ว กลายเป็นไหลช้าลง กระทั่งหยุดนิ่งทวนกระแสน้ำอยู่กับที่และเริ่มเดินทวนกระแสน้ำช้าๆ
และเมื่อเห็นว่าเรือเดินทวนกระแสน้ำได้คงที่ กัปตันไก่  ตะโกนบอกให้บังใจกว้านสมอขึ้นทันที..
   การกว้านสมอไม่มีอุปสรรคอะไร เพราะสมอไม่ได้เกี่ยวติดกับสิ่งใดๆใต้น้ำ..
ไม่กีนาทีต่อมา สมอจึงขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งบนหัวเรือเรียบร้อย ซึ่งเป็นเวลาฟ้าสาง สว่างรำไรพอดี
          กัปตันไก่ หมุนพังงาเรือเลี้ยวซ้าย ตีวงหันหัวเรือมุ่งตรงออกปากอ่าว ที่มีละอองหมอกขาวมัวปกคลุม อยู่ทั่วไป อย่างช้าๆ...
          ทุกคนผ่อนคลายเมื่อทุกอย่างผ่านไปด้วยดี ต่างแยกย้ายกันเก็บที่หลับที่นอนและทำภาระกิจส่วนตัว
          เวลาชั่วโมงกว่าๆ ผ่านไป จากแม่น้ำ เรือเริ่มแล่นออกปากอ่าว ซื่งน้ำกำลังไหลออกทะเลเชี่ยวกรากและขุ่นแดงเป็นสีดินโคลน ละอองฝน ปนหมอกที่ปากอ่าวยังหนาทึบ ทัศนวิสัยการมองเห็นจึงมีขีดจำกัด
กัปตันไก่บังคับเรือเบนหัวไปทางขวา ประมาณ 10 องศา ซึ้งเป็นทิศตะวันตกเฉียงเหนือ มุ่งหน้าออกสู่ทะเลอันดามัน ด้วยความเร็วต่ำสุด อย่างระวังเต็มที่ เพราะรู้ว่าทัศนวิสัยแบบนี้ ทำให้เรือเกิดอุบัติเหตุมานักต่อนัก
หลังเสร็จภาระกิจส่วนตัวกันแล้ว พวกเราทุกคนมารวมตัวกันบนดาดฟ้าอีกครั้ง ต่างช่วยกันมองกวาดไปรอบๆเรือ อย่างรู้หน้าที่ หากว่าเห็นอะไรผิดปกติจะได้ช่วยกันบอกกัปตัน
ขณะที่กัปตันไก่ดูดบุหรี่หนักหน่วง หลังจากวางถ้วยกาแฟที่บังใจชงมาให้..
ได้ยินเสียง บังใจหนักๆ “กัปตัน!.ห้าองศา หัวเรือ!.
“เออ..เห็นแล้ว” กัปตันไก่ พูดเบาๆ
ผมหันหน้าจากกราบซ้ายเรือ มองไปตามตำแหน่งที่บังใจบอก ก็ได้เห็นเงาดำทะมึนรางๆอยู่ในม่านหมอก ห่างออกไปประมาณ 500 เมตร
“เรือสินค้า” ยุทธพูดออกมาดังๆ
ทุกคนเห็นเหมือนกัน!.. มันเป็นเรือสินค้าขนาดใหญ่ กำลังมุ่งตรงดิ่งมาทางเรือเรา ซึ่งป็นร่องน้ำเดียวกัน อันจะนำไปสู่ท่าเรือ Port Klang ด้านในของแม่น้ำ
500 เมตร ไม่ห่างเลยสำหรับเรือสินค้าลำใหญ่ขนาดนั้น..
เรือลำนั้นใช้ความเร็วไม่มาก เพราะเป็นในร่องน้ำ
แต่ไม่ปลอดภัยสำหรับเราแน่ ถ้าหากว่าแล่นสวนกันในระยะใกล้เกินไป
กัปตันไก่เบนหัวออกซ้ายและเร่งเครื่อง เพื่อหลบให้ห่างรัศมีคลื่นของเรือลำนั้น
ไม่เกิน 10 นาที เรือก็สวนกันในระยะห่างไม่เกิน 50 เมตร ซึ่งนับว่าใกล้มาก สำหรับการแล่นสวนกับเรือใหญ่ขนาดนั้น ในร่องน้ำที่น้ำกำลังลงเต็มที่และเชี่ยวกราก
กัปตันไก่ลดความเร็ว หันหัวเรือสู้คลื่นจากเรือลำนั้นทันที เมื่อมันแล่นผ่านไป แต่กระนั้นก็ยังทำเอาพวกเราถูกเรือเหวี่ยงไปกันคนละทิศ คนละทาง ...เกือบ 5 นาที กว่าเรือเราจะตั้งลำได้ตามปกติ
กัปตันไก่ ตั้งลำใหม่อีกครั้ง หันหัวเรือกลับสู่ทิศทางเดิม แล้วเร่งเครื่อง!...
แต่....“ครืดดดดดดดด...”
ทุกคนได้ยินเสียงหนักๆ มาจากใต้ท้องเรือ พร้อมๆกับอาการสะดุดของลำเรือ.
“เรียบร้อย”..เสียงกัปตันไก่ พูดออกมาดังๆ อย่างหงุดหงิด
“ติดแล้วกัปตัน” คุณบันเทิงพูดลอยๆ
“เออ..รู้แล้วไม่ต้องบอก!” กัปตันไก่หัวเสีย
กัปตันไก่เข้าเกียร์ถอยหลัง..เรือไม่ขยับ
เข้าเกียร์เดินหน้า..ไม่ขยับ..
ปลดเกียร์ว่าง แล้วมองออกไปรอบๆ...
พวกเรามองตาม..
ห่างจากเรือเราออกไปไม่เกิน 100 เมตร เห็นเรือหางยาวมีคนในเรือ 2 คน กำลังวางอวนจับปลา..
ทั้งสองคนกำลังมองมาที่เรือเรา คนหนึ่งชี้มือ ชี้ไม้ ไปทางด้านขวาของหัวเรือเรา พร้อมกับเสียงตะโกนโหวกๆ ได้ยินเบาๆ เป็นภาษามาเลเซีย คล้ายๆกับกำลังบอกว่า “ร่องน้ำอยู่ทางด้านขวามือโน่นโว้ย ไอ้โง่”
“สายไปแล้วละบัง!” ผมคิดในใจ...
จะไม่สายได้ยังไง ในเมื่อพวกเราเริ่มมองเห็นผืนทรายใต้ท้องเรือชัดเจนขึ้นทุกทีๆ พร้อมๆกับลำเรือเริ่มเอียงไปทางขวาอย่างช้าๆ
“หมานดับเครื่อง” กัปตันไก่ บอกบังหมาน ด้วยน้ำเสียงเซ็งในอารมณ์
บังหมานก็แสนจะว่าง่าย หันหลังเดินลงห้องเครื่อง แล้วเสียงเครื่องยนตร์ก็เงียบสนิท ได้ยินแต่เสียงคลื่นกระทบข้างลำเรือดังซ่าๆ เบาๆ
“ใครจะนอนก็นอน ตามบายนะโว้ย..รอน้ำขึ้นค่อยไป” กัปตันไก่พูดดังๆให้ทุกคนได้ยิน
“แมร่ง!..ถ้าเรือเปรตลำนั้นไม่เข้ามา กูก็ไม่ติดอยู่พรรค์นี้” บ่นต่ออย่างหัวเสีย
ว่าแต่ว่า..ใครจะไปนอนได้ละกัปตัน!.. ในเมื่อเรือเอียงกะเท่เร่ลงทุกทีๆ พร้อมๆกับเสียงอุปกรณ์ประกอบอาหารการกินในห้องครัว ทะยอยส่งเสียง..โครม..โพล้ง..เพล้ง..พลั้ง ดังประสานกันเหมือนเสียงดนตรีเพื่อชีวิต...
แน่นอน..เพื่อชีวิตของพวกเราทั้งหกคน ที่จะต้องลูบท้องด้วยน้ำไปอย่างน้อยอีก 4 ชั่วโมง...จนกว่าน้ำจะขึ้น และเรือตั้งลำได้..เฮ้อ...เวรกรรม.
เรือเราติดสันดอนอยู่ปากน้ำนั่น ประมาณแปดโมงเช้า เวลานั้นมันทำอะไรไม่ได้จริงๆ จะทำอาหารก็ไม่ได้ จะนั่งก็ไม่ถนัด จะนอนก็ไม่ได้ เพราะเรือมันนอนตะแคงเอียงกะเท่เร่ประมาณ 45 องศา
ทุกคนพยายามแหวกอุปกรณ์และสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆที่ระเกะระกะไม่เป็นที่เป็นทาง หามุมที่พอจะยักแย่ยักยันกันไปตามอัตภาพ เหมือนกับอยู่ในกองขยะ


มีแต่บังใจที่เป็นคนมองโลกในแง่ดีและไม่ซีเรียสกับสถานการ์ที่เป็นอยู่  แกค้นหาอวนเก่าๆในเรือได้มาหัวหนึ่ง แล้วลงจากเรือไปเดินวางอวนดักปลาบายใจเฉิบ โดยมียุทธเป็นผู้ช่วยอยู่บนเรือ
ส่วนนายชำนาญ ณ.อันดามัน แอ็คชั่นทำหล่อถ่ายรูปครับพี่น้อง อิอิ..
หลังจากบังใจวางอวนไม่กี่นาที ก็มีปลาทรายกับปลากระบอกหน้าโง่ติดอวนมาหลายตัว ซึ่งได้กลายมาเป็นปลาทรายทอดขมิ้นกับปลากระบอกแกงส้ม ในอาหารมื้อแรกของลูกเรือโง่ๆ หลังจากเรือหลุดจากการติดสันดอนออกมาได้ในวันนั้น.
พวกเราทนอยู่กับสภาพโลกเอียง กระทั่งเกือบเที่ยงวัน เมื่อน้ำขึ้นจนเรือลอยลำได้เต็มที่ จึงได้แล่นออกสู่ทะเลอันดามันอีกครั้ง ด้วยสภาพอากาศแจ่มใสเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น!.


กระทั่งออกสู่ร่องน้ำลึก กัปตันไก่พล๊อตเข็มมุ่งหน้าไปยังเกาะปีนัง อันเป็นจุดหมายต่อไปและสั่งชักใบ เพื่อแล่นใบอีกครั้ง หลังจากที่ไม่ได้แล่นใบมาหลายวัน.

ไม่มีความคิดเห็น: