วันอังคารที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตรังกานู – เกาะแตงโกล์ 22 ก.ย.51 (Terengganu-Tenggol Island) ตอน คายัค ปริศนา?


จากความตอนที่แล้ว เราฝ่าพายุจากเกาะเรดัง มาทิ้งสมอนอนอยู่ที่ หน้าเมืองท่าตรังกานูจนเช้าวันที่ 22 ก.ย.51 โดยไม่ได้กินข้าว......ติดตามเหตูการณ์ วันที่ 22 ต่อไปครับ...

ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นเมื่อ ได้กลิ่นหอมของอาหารเข้าจมูก สัมผัสความโคลงเคลง โยกเยก ของเรือได้เล็กน้อย สำนึกว่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาเป็นความจริง ไม่ใช่ความฝันและแสดงว่า ผมหลับแบบม้วนเดียวจบ โดยไม่รู้สึก ตั้งแต่เสือกตัวลงนอนเมื่อหลังเที่ยงคืนที่ผ่านมา จนกระทั่งเช้าของวันนี้

ผมลุกขึ้นนั่ง มองไปรอบๆ เห็น กัปตันไก่ นอนสูบบุหรี่อยู่ที่เดิม ไม่เห็นคนอื่นๆ น่าจะเป็นผมคนเดียวที่ตื่นหลังสุด ดูนาฬิกาที่ข้อมือ 6 โมงเช้าเศษ ทัศน์วิสัยรอบด้านมัวซัว ท้องฟ้ายังครึ้มฝน ลมพัดอ่อนๆ แต่ทะเลราบเรียบ ไม่มีร่องรอยของพายุบ้าเลือด เมื่อคืนให้เห็นแม้แต่นิดเดียว นี่แหละหนา เขาว่า ทะเลเหมือน อารมณ์ของผู้หญิงบางคน (เหมาหมดไม่ได้ ประเดี๋ยวแม่เจ้าประคุณ จะหาว่าผมมีอคติ) เวลามาแต่ละครั้งตั้งหลักรับแทบไม่ทัน บทจะไปก็เงียบกริบเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น

“เป็นไงบ้าง พี่สาม เมื่อคืน มันส์ มั๊ย?” กัปตันไก่ ทักทายผม

ผมตอบไปว่า “มันส์ ชิ๊ปหายเลยวะ ไม่ได้เจอแบบนี้มานานแล้ว”

กัปตันไก่ พูดต่อว่า “วอร์มไว้ก่อน ยังมีหนักกว่านี่อีก กว่าจะถึงภูเก็ต ยังต้องเจออีกหลายดอก” พูดแล้วหัวเราะ หึ หึ อัดบุหรี่ต่อ

ผมตอบกลับไปว่า “เออ ว่ะ ถึงไหนถึงกัน” ผมจับหลวงปู่ทวด หลังเตารีด ปี 05 ที่ห้อยคออยู่กับสร้อยลูกปัด ท่านยังอยู่กับผม.! ท่านยังไม่ทิ้ง ผมยังอุ่นใจ

ผมใช้กล้องส่องทางไกลมองสำรวจไปบนฝั่งด้านทิศตะวันตก ห่างออกไปจากเรือ ประมาณ 2 กิโลเมตร สิ่งแรกที่สะดุดตา คือ ตึกสูงหลายชั้นและอาคาร บ้านเรือนหนาแน่น, ท่าเทียบเรือใหญ่, ถนนเลียบชายหาด เห็นรถยนต์ที่พอจับสังเกตได้ วิ่งอยู่ ขวักไขว่

ผมถาม กัปตันไก่ “ตอนนี้ เราอยู่ที่ไหน?”

กัปตันไก่ ตอบมาว่า “หน้าเมืองท่า ตรังกานู”

“อ๋อ” ผมร้องในคอ แสดงว่า ตอนมาถึงเมื่อคืน ผมเข้าใจผิดถนัด

เมืองท่าตรังกานู เช้าวันที่ 22 ก.ย.ท้องฟ้ายังมัวซัว

ผมขยับลุกขึ้น เพื่อจะเก็บพับผ้าห่มและหมอนสามเหลี่ยม ที่เป็นเครื่องบริขาร รู้สึกปวดข้อหัวแม่เท้าซ้ายจี๊ด ก้มลงมองเห็นบวมแดงนิดๆและเมื่อจับดู เริ่มปวด ตุบตุบ คงจะสะดุดเข้ากับอะไรสักอย่าง ตอนชุลมุน เมื่อคืน

ผมลงไปห้องนอนชั้นล่าง เพื่อจะเข้าห้องน้ำ ทำธุระส่วนตัว เดินผ่านหน้าห้องครัว เห็นบังใจ กำลังสาละวน ทำกับข้าว ส่งกลิ่นหอมหวนโชยเข้าจมูก ทำเอาท้องผมร้อง จ๊อกๆ

ปกติ อาหารเช้าของพวกเรา มีกาแฟ ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอกไก่ ไม่มีแฮมเบอเกอร์ ไม่มีเบคอน เพราะว่า บนเรือ เรามีอิสลามแท้ๆ อยู่ 1 คน และมีอิสลามเทียม 2 คน ตามที่ได้แนะนำกันไปแล้ว ก่อนเรือออกจากท่า ที่เกาะสมุย

เช้านี้ บังใจทำกับข้าว หลายอย่างเป็นอาหารเช้า คงต้องการชดเชย ที่อดอาหารค่ำเมื่อวาน เพราะพายุ เล่นงานเอาจน อาหารทุกอย่าง หกระเนระนาด เทกระจาดลงราดท้องเรือหมดเกลี้ยง

“พี่สาม หลับสบายดี?” บังใจทักทายผม

“หลับยาวเลย” ผมตอบและยิ้มให้ ก่อนจะเดินไปเข้าห้องนอนที่อยู่ถัดไป เพื่อทำธุระส่วนตัว

ไม่นาน ผมก็ขึ้นมาบนดาดฟ้าเรืออีกครั้ง เห็นแต่ละคนกำลังสาละวน ตรวจสอบ จัดเก็บอุปกรณ์ สิ่งของเครื่องใช้กันวุ่นวาย ผมทักทายทุกคน ตามธรรมเนียม

กระทั่งเวลาประมาณ 8 โมงเช้า กัปตันไก่ สั่งเตรียมออกเรือ (โดยยังไม่ได้กินข้าว)บังหมาน ลงไปเปิดฝาห้องเครื่อง แล้วสตาร์ทเครื่อง แต่เครื่องทำท่ารวน ติดๆ ดับๆ หลายครั้ง สุดท้าย ตะโกนขึ้นมาบอก กัปตันไก่ว่า “ท่าจะต้องเรื้อดู แล้วหละกัปตัน” แล้วก็เรียก ยุทธ ให้ลงไปช่วยอีกคน

เป็นอันว่า ต้องซ่อมเรือก่อน เพราะเครื่องสตาร์ทไม่ติดโดยไม่รู้สาเหตุ การถอนสมอและการกินข้าว จึงต้องเลื่อนออกไปโดยไม่มีกำหนด ผมคิดอยู่ในใจ นี่ถ้ามันรวนเอาตอนที่กำลังฝ่าพายุเมื่อคืน ไม่รู้ว่าป่านนี้ เราไปติดประเทศไหน?

บังหมาน กับ ยุทธ และคุณบันเทิง ช่วยกัน ถอดโน่น ถอดนี่ ไม่นานก็รู้สาเหตุว่า น้ำเข้าไปปนอยู่ในปั๊มน้ำมันดีเซล เครื่องยนต์จึงติดๆ ดับๆ เออ...ให้มันได้ยังงี้ซิ!

ดูสีหน้าแต่ละคน ไม่เห็นว่าจะมีใครซีเรียส

ทั้งสามคนช่วยกันจัดการทำความสะอาดปั๊มน้ำมันไปพลาง พูดคุยเหย้าแหย่ หยอกล้อกันไปพลาง กัปตันไก่ ที่อยู่ข้างบนก็โผล่หน้า พูดแซวลงไปบ้าง พูดให้กำลังใจบ้าง ไม่มีใครบ่น ไม่มีใครเครียด กับปัญหาที่เกิดขึ้น ทุกคนมองปัญหา ทุกปัญหา เป็นเรื่องเล็กไปหมด นี่คือสภาพจิตใจที่เข้มแข็งของ นักสู้โดยแท้จริง.!

ร่วมๆ 2 ชั่วโมง ประมาณ 10 โมง เสียงเครื่องยนต์ ก็ดังกระหึ่มขึ้นอีกครั้ง อย่างหนักแน่น พร้อมที่จะตะลุยดงคลื่นต่อไป ต้องยอมรับฝีมือของบังหมาน เด็กหนุ่มอายุยังน้อย แต่ฝีมือทางเครื่องยนต์ ไม่น้อยเลย

หลังจากตรวจสอบ ทดลองเร่งเครื่องยนต์ดูเป็นที่พอใจแล้ว กัปตันไก่ สั่งถอนสมอ ทันที ทุกคนเข้าประจำที่ ตรวจสอบความพร้อม ของการเดินทาง ซึ่งอย่างน้อย ก็อีก 36 ชั่วโมง จึงจะได้พักอีกครั้ง

กัปตันไก่ ตั้งเข็มไปที่ หมู่เกาะ แตงโกล์(Tenggol) ทางทิศใต้ ฝั่งตะวันออกของประเทศมาเลเซีย เป็นจุดหมายต่อไป

เมื่อเรือตั้งลำได้ โดยมี บังหมาน รับหน้าที่ถือท้ายเป็นผลัดแรก นั่นแหละ บังใจ จึงได้ทยอยส่งอาหารขึ้นมาจากห้องครัวและพวกเราจึงได้กินอาหารกันอีกครั้ง หลังจากมื้อสุดท้าย เมื่อวานตอนสาย

บังหมาน เสียสละรับหน้าที่ถือท้ายเป็นผลัดแรกของวันนี้ โดยมีพวกเรากินข้าวกันก่อน

อิ่มหนำสำราญ กันถ้วนหน้า เก็บสำรับคับค้อนเรียบร้อย ต่างก็แยกย้ายกันหามุมเอนหลังตามอัธยาศัย อ่านหนังสือเล่มเก่าที่อ่านมาแล้วสิบรอบบ้าง ถอนขนจั๊กกะแร้บ้าง ตามกิจกรรมที่ถนัดของแต่ละคน

การอยู่บนเรือที่แล่นอยู่กลางทะเลนานๆ เห็นแต่น้ำกับฟ้าโดยไม่เห็นฝั่ง ตามสภาวะดินฟ้าอากาศปกติ ช่างเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่ายสิ้นดี นั่งๆนอนๆ หลับๆ ตื่นๆ อยู่อย่างนั้น ไม่มีอะไรทำจริงๆ แต่ก็ยังดีกว่าอยู่กลางพายุ เท่านั้นเอง

บ่ายแก่ๆ แดดจ้า ท้องฟ้าไม่มีเมฆหมอกสักก้อน ทะเลราบเรียบ ลมทะเลพัดอ่อนๆ ส่งมาทางท้ายเรือ ทำให้เรือเพิ่มความเร็วขึ้นได้อีกเล็กน้อย ปุเลง ปุเลง แบบถึงก็ช่างไม่ถึงก็ช่าง เหมือนรถไฟหัวรถจักรไอน้ำสมัยโบราณ แนวเข็มที่ตั้งไว้ห่างจากฝั่งประมาณ 20 ไมล์ทะเล จนมองไม่เห็นฝั่ง ขณะที่ผมนอนคิดอะไรเพลินๆ ได้ยินเสียงใครบางคน พูดขึ้นดังๆให้ดูบางอย่างทางด้านหัวเรือ

ผมลุกขึ้นมองไปทางกราบซ้ายด้านหัวเรือ ในทะเลก็เห็นเรือคายัค (Kayak) ลอยเท้งเต้งอยู่ลำหนึ่งเป็นชนิดนั่งพายสองคน แบบที่บริษัททัวร์นิยมให้บริการนักท่องเที่ยว พายชมธรรมชาติป่าโกงกางตามชายฝั่งทะเล ทั่วๆไปใช้กัน แต่ลำที่พวกเราเห็นลอยเท้งเต้งอยู่นั้น มันไม่มีคนพาย ไม่มีไม้พาย สภาพของมันกลางเก่า กลางใหม่ น่าจะยังใช้งานได้ดี แต่ทำไม? มันถึงมาลอยอยู่ห่างจากฝั่งตั้ง 20 ไมล์ทะเล ทุกคนตั้งข้อสังเกตไปต่างๆนาๆ

บ้างว่าอาจจะหลุดจากการผูกไว้ หรือเจ้าของทิ้งแล้ว หรือมีใครอุตริอวดดีพายเล่นออกมาไกลจนหมดแรง เกินกว่าจะพายกลับเข้าฝั่งหรือขณะกำลังพายเล่นเกิดเป็นลมหน้ามืดขึ้นมากะทันหัน จากสาเหตุโรคประจำตัวหรืออะไรก็ตามแต่จะคาดเดา ตามจินตนาการของแต่ละคน

กระทั่งเรือเราแล่นผ่านมาจนเรือคายัค(Kayak)ลำนั้น ลับตาไป ก็ไม่มีใครสรุป หาสาเหตุได้ว่ามันมาลอยอยู่ห่างจากฝั่งตั้ง 20 ไมล์ทะเลได้อย่างไร ปล่อยให้ข้อกังขาและคำถามต่างๆ ลอยลับหายไปกับเรือคายัค ลำนั้นโดยไม่มีคำตอบ ทะเลช่างโหดร้ายแบบนี้จริงๆ!!!

คายัค ปริศนาลำนั้น

ล่องแล่นผ่านความเวิ้งว้าง ของทะเลราบเรียบและผ่านเวลามาจนกระทั่ง ดวงอาทิตย์ค่อยๆลับขอบฟ้าทางด้านทิศตะวันตก (แน่นอนไม่ได้ลับทิวเขาเพราะมองไม่เห็นทิวเขา) มองแสงสะท้อนสีแดงเหมือนเลือดทางขอบฟ้าทิศตะวันออกดูน่ากลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นมาอีก!?..

ถ้าใครมีความหลังที่ปวดร้าวขมขื่น มีความรักที่ถูกพลัดพราก มีความในใจที่บอกใครไม่ได้ แล้วมาอยู่ในบรรยากาศแบบนี้ จะรู้สึกสิ้นหวัง เหงา เศร้า ว้าเหว่ สุดจะทานทนแน่นอน

แสงสะท้อนทางด้านขอบฟ้าทิศตะวันออก ขณะที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าทางทิศตะวันตก

 ใกล้จะหมดเวลาของกลางวัน พวกเราล้อมวงกันกินข้าวก่อนมืดสนิท ถ้ามืดจะกินข้าวกันลำบาก เพราะถ้ามืดสนิทแล้ว ขณะที่เรือแล่นอยู่ในทะเล จะต้องปิดไฟในเรือทั้งหมด เหลือไว้เฉพาะไฟเสากระโดงและไฟสัญญาณเดินเรือ เขียว แดง ซ้าย ขวา บนหลังคาเท่านั้น

เหตุผลที่ต้องปิดไฟในเรือ ก็เหมือนกับการที่คุณกำลังขับรถตอนกลางคืน แล้วถ้าเมียหรือแฟนหรือกิ๊ก ของคุณเสือกเปิดไฟในรถเพื่อว่าคุณเธอจะหาอะไรสักอย่าง ที่แม่เจ้าพระคุณคิดว่าจำเป็นจะต้องหาให้ได้ในเวลานั้น รับรองว่าคุณต้องลดความเร็วลงทันที เพราะคุณจะมองข้างหน้าเห็นไม่ถนัด ฉันใดก็ฉันนั้น ยิ่งถ้าเป็นในเรือยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเรือ ไม่มีไฟหน้าเหมือนรถยนต์ ถ้าเสือกเปิดไฟขณะที่เรือแล่น มีหวังได้ชนกับคลื่นวินาศสันตะโร

พวกเราจัดการกับอาหารมื้อนั้นเสร็จสรรพในเวลาอันรวดเร็ว และบรรจุกันเต็มที่เพราะไม่มีใครรับรองได้ว่าจะได้กินมื้อต่อไปหรือไม่!?..

และในอนาคตอันใกล้ของค่ำคืนนี้จะเจอกับเหตุการณ์อะไรอีกหรือไม่?.. ไม่มีใครบอกได้!..

พบกันใหม่ตอนต่อไป คงไม่นานเกินรอนะครับ

-----------------------------------------------