วันอาทิตย์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2554

บนเส้นทางช่องแคบมะละกาสู่ Admiral Marina (26/09/2008)

จากความตอนที่แล้ว....เราออกมาจากซีบาน่า มารีน่า รัฐยะโฮร์ในตอนบ่าย แล่นเข้าสู่ช่องแคบมะละกา จนกระทั่งตกค่ำ หลงเข้าไปติดอยู่ในเขื่อนกั้นคลื่นของสิงคโปร์ กว่าจะหาทางกลับออกมาและแล่นมาทิ้งสมอในเขตน่านน้ำมาเลเซีย ก็เมื่อเวลา 5 ทุ่มกว่า
หลังจากที่พวกเรากินดินเนอร์กันเมื่อเวลาเกือบเที่ยงคืนกับต้มยำและแกงส้มปลาเก๋า ตัวที่มาถวายเนื้อเมื่อตอนเย็น เป็นที่อิ่มหนำสำราญกันแล้ว ต่างก็หาที่นอน มุมใครมุมมันตามถนัด คืนนั้นเวลาผ่านไปด้วยเหตุการณ์ปกติ ไม่มีเรื่องตื่นเต้น ระทึกใจอะไรเกิดขึ้น นอกจากสายฝนโปรยลงมาให้พวกเราขยับที่นอนกันพอแก้กษัย ในตอนย่ำรุ่ง
เช้าวันที่ 26 กันยายน 51 อากาศไม่ค่อยปรอดโปร่งสักเท่าไหร่ ทะเลปกคลุมด้วยละอองฝนมืดๆมัวๆ แม้กระทั่ง 6 โมงเช้า ก็ยังไม่มีแสงแดดให้เห็น ซึ่งถ้าอากาศปกติ เวลาตีห้ากว่าๆ จะเห็นแสงอาทิตย์แดงโร่โผล่หน้าผ่าก้อนเมฆมาให้เห็นเป็นลำ
จุดที่เราทิ้งสมอ มองด้วยสายตาน่าจะห่างจากชายฝั่งของมาเลเซียประมาณ 3 ไมล์ ลักษณะเป็นคล้ายๆปากอ่าว สังเกตเห็นน้ำสีโคลนขุ่นข้นไหลออกมาจากลำคลองเป็นสาย  มองออกไปรอบๆ เห็นเรือหลายลำ ลักษณะเหมือนเรือหางยาวบ้านเรา แต่ลำเล็กกว่ามาก หัวแหลม ท้ายตัดสั้น ความยาวประมาณ 3-4 เมตร กำลังเก็บกู้อวนดักปลาและเก็บไซดักปู อยู่ทั่วไป คงจะเป็นชาวประมงจากบนเกาะเล็กๆ ที่มองเห็นห่างออกไปไม่ไกล
กัปตันไก่ สั่งให้ถอนสมอ ในขณะที่พวกเรากำลังนั่งซดกาแฟกันอย่างสบายใจ
จากระดับความลึกของน้ำไม่เกิน 30 เมตร ไม่กี่นาทีต่อมา สมอก็ขึ้นมาวางบนที่เก็บตรงหัวเรือ
กัปตันไก่ เข้าเกียร์เดินหน้า หมุนพังงาหันหัวเรือตรงไปยังกระโจมไฟปากร่องน้ำทางด้านทิศใต้ ซึ่งมองเห็นรางๆ ไม่ไกลออกไปมากนัก ภายใต้ทัศน์วิสัยอึมครึม ด้วยละอองฝน แล้วค่อยๆเร่งเครื่องยนต์เดินหน้าอย่างช้าๆ คอยหลบหลีกอวนและทุ่นผูกซั้ง ที่มีอยู่รอบทิศทาง เหมือนกำลังเดินอยู่ในดงกับระเบิด แถวชายแดนเขมร ผมยังสงสัยอยู่ว่า เมื่อคืนกัปตันไก่ พาเรือเข้ามาได้ยังไง โดยไม่กวาดเอาอวนหรือซั้งพวกนั้นติดใบจักรมาด้วย
เกือบ 7 โมงเช้า ท้องฟ้ายังปิด ทัศน์วิสัยรอบด้านไม่น่าไว้วางใจ  เรือเราอยู่ห่างจากกระโจมไฟปากร่องน้ำไม่เกิน 1 ไมล์
“พี่สาม ช่วยถือท้ายที ผมจะไปเข้าส้วมและกินกาแฟหน่อย” กัปตันไก่ เรียกผม ขณะที่ผมกำลังนั่งดูดบุหรี่ มองทะเลอย่างไร้จุดหมาย
เมื่อผมลุกขึ้นมาจับพังงาเรือ มันบอกผมว่า “พี่สาม ยึดแนว ทางด้านซ้ายมือของกระโจมไฟนั่นเป็นหลักนะ แล้วตรงออกไปที่มองเห็นน้ำสีเขียวๆโน่น ตรงนั้นเป็นร่องน้ำลึก เมื่อถึงตรงนั้นแล้วค่อยเลี้ยวขวาอ้อมกระโจมไฟ”  ผมพยักหน้าแสดงความเข้าใจ แต่..ไม่แน่ใจ..
บอกผมเสร็จ มันเดินหายลงไปในระวางท้องเรือ ปล่อยให้ผมยืนถือท้ายหน้ายุ่งเป็นอวนพันอยู่คนเดียว หันมองคนอื่นๆ เห็นทำเป็นไม่รู้ ไม่ชี้กันหมด ..มีแต่ บังหมาน ส่งยิ้มกวนตีนให้ผม
“อะไรกันว่ะ!..พวกนี้จะลองของกูตั้งแต่เช้าเลยหรือนี่..” ผมคิดอยู่ในใจ
ไอ้ผมนั้นมีปัญหาอยู่บ้างถ้าอากาศชื้น เพราะใส่แว่นสายตา ยิ่งมีละอองฝนด้วย แว่นที่ผมใส่มันเป็นฝ้า ปัญหาจึงคูณสอง
แต่เมื่อถูกไฟล์บังคับ ยังไงก็ต้องแสดงศักยภาพให้เป็นที่ประจักษ์ ว่าข้าก็แน่!.. ไม่ยอมให้เสียชื่ออดีตลูกประดู่ เนวี่ นาวีไทยเป็นเด็ดขาด
ผมตั้งใจ เล็งไปที่กระโจมไฟ ซึ่งอยู่ห่างออกไปอีกไม่เกิน 15 นาที และมองเลยออกไปที่ทิวน้ำเขียวๆ ตามที่กัปตันไก่บอกว่าเป็นร่องน้ำลึก อันเป็นเป้าหมาย ด้วยใจระทึก..
ใกล้เข้าไป..ใกล้เข้าไป..จนในที่สุดผมก็พาเรือมาถึงกระโจมไฟ ทำระยะห่างมาทางซ้ายมือประมาณ 50 เมตร ซึ่งนับว่าใกล้และเสี่ยงมาก ถ้าหากว่ามีพายุฝนและคลื่น คงไม่มีใครทำ.
ขณะนั้น ลมเริ่มพัดแรงขึ้นทุกที คลื่นลูกใหญ่ๆวิ่งร้อยเมตรดาหน้าเข้ามาหาเรือเป็นระลอกแถวเหมือนกองทัพโรมัน ฝนเริ่มโปรยเม็ดลงมาเป็นสายเหมือนม่านประตูโรงนวด ทิวน้ำสีเขียวข้างหน้าเริ่มหายไป..หายไป..เหมือนกับใจผม ที่เริ่มหายวูบ หายวูบ..
ผมพยายามตั้งสติ ที่เริ่มแตก พาเรือแหวกลูกคลื่น ผ่านกระโจมไฟไกลออกมาพอสมควร พยายามมองหาทิวน้ำสีเขียวที่เล็งเอาไว้ตั้งแต่ต้น แต่มันหายไปแล้ว หายไปภายใต้สายฝนและเกลียวคลื่นที่โถมเข้ามา อย่างหนักหน่วง รุนแรงนั้น ผมจึงเห็นเพียงทิวน้ำสีโคลนขุ่นๆ เท่านั้น...
กัปตันไก่ ยังไม่ขึ้นมา ไอ้พวกที่อยู่บนดาดฟ้า ต่างก็วุ่นวายอยู่กับการเก็บสัมภาระเข้าหาที่หลบฝน
กัปตันชำมะนาญ ตัดสินใจ หมุนพังงาหักหัวเรือไปทางขวา ตามที่กัปตันไก่บอกทีแรก เพราะเห็นว่าเลยกระโจมไฟมามากจนหันกลับไปมองไม่เห็น และเข้าใจว่า น่าจะถึงเขตทิวน้ำเขียวซึ่งเป็นร่องน้ำลึกแล้ว
แต่กัปตันชำมะนาญ ไม่ใช่ กัปตันสะแปโร่ว์หรือกัปตันไก่ครับ พี่น้อง..
จึง..เมื่อผมเลี้ยวขวามาได้ไม่กี่อึดใจ บัดใดก็ได้ยินเสียงดัง ครืดดดด..ครืดดดด..หนักๆมาจากใต้ท้องเรือ...
เรือหยุดกึกกับที่ พร้อมๆกับอาการเอียงวูบไปทางกราบซ้ายอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงสิ่งของบนดาดฟ้าและในระวาง พลัดหล่น โครม คราม เพล้ง พลั้ง..
ผมใจหายวาบ สมองหดลีบลงเหลือเท่าสมองช้างและหยุดการสั่งงาน...ทุกคนหยุดปฏิบัติภารกิจความเคลื่อนไหวทุกอย่างหมดสิ้น และหันมามองผมเป็นตาเดียว..
กัปตันไก่ กระโจนขึ้นมาจากระวางท้องเรือ ยังไม่ทันพ้นบันได ตะโกนใส่ผมก่อน..“พี่สาม..หยุดใบจักรเร็ว เรือเกยตื้นแล้ว”  
ไอ้บ้าเอ้ยยยย!...ถึงมึงไม่บอก กูก็รู้!!!..สมองผมพองขึ้นมาอีกครั้ง รีบลดคันเร่ง แล้วปลดเกียร์ไปที่ตำแหน่งว่าง
กัปตันไก่ กระโดดมาแย่งพังงาเรือจากผม เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วค่อยๆเร่งเครื่องยนต์ เพิ่มขึ้น เพิ่มขึ้น ถึงอัตราสูงสุด จนเรือสะเทือนไปทั้งลำ ใบจักรพัดน้ำที่ท้ายเรือหมุนวนขุ่นคลัก แต่ไม่มีทีท่าว่าเรือจะถอยออกมาได้ มีเพียงอาการโคลงจากแรงกระแทกของคลื่น วูบวาบเป็นระยะ
กัปตันไก่ ลดคันเร่ง ประมาณอึดใจ แล้วเริ่มเร่งใหม่ แต่ก็ไม่เป็นผล เรือเหมือนถูกยึดติดไว้กับอะไรซักอย่าง
“ติดหนักใช้ได้ พี่สามเหอ..” กับตันไก่พูดคล้ายๆบ่น
แต่ผม..พูดอะไรไม่ออก ได้แต่ควักบุหรี่ชื้นๆออกมาจุด อัดหนักๆ
กัปตันไก่ หันมองไปรอบๆ สังเกตทิศทางลม คลื่นและกระแสน้ำอย่างละเอียด ขณะนั้นฝนยังตกลงมาตลอดเวลา
กัปตันไก่ เริ่มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้เปลี่ยนเป็น หมุนพังงาเรือไปทางซ้ายจนสุด เร่งเครื่องยนต์เดินหน้าประมาณครึ่งอัตรา  แล้วล้วงบุหรี่ออกมาจุดสูบอย่างใจเย็น ปล่อยให้ใบจักรเรือพุ้ยน้ำกระจายอยู่อย่างนั้น
กระทั่ง ประมาณ 15 นาทีผ่านไป ท้ายเรือเริ่มขยับไปทางขวา ทีละนิด ทีละนิด ส่วนหัวเรือขยับๆไปทางซ้าย จนกระทั่งหัวเรือหันไปเกือบจะอยู่ในตำแหน่งเดิมของท้ายเรือ เรือจึงเริ่มขยับเดินหน้าตามแรงคลื่นที่หนุนหัวเรือขึ้นมา
กัปตันไก่รอจังหวะที่มีคลื่นลูกใหญ่หนุนยกหัวเรือขึ้นสูง จึงเร่งเครื่องเต็มที่ จนน้ำที่เกิดจากการพัดของใบจักรพุ่งกระจายเป็นฟูฟอยออกไปทางท้ายเรือ ได้ยินเสียง ครืดดดด..ครืดดดด..ยาววววว.. มาจากใต้ท้องเรือ และแล้ว..เรือก็หลุดออกมาจากการติดสันดอน ออกสู่ร่องน้ำในที่สุด
ผมหายใจเข้าเต็มปอดอีกครั้ง หลังจากที่หายใจไม่ทั่วท้องมาหลายนาที
จากนั้น ทุกคนช่วยกันเก็บสิ่งของเครื่องใช้ต่างๆ ที่ตกหล่นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปทั้งบนดาดฟ้าและในระวาง กลับเข้าที่เข้าทางที่มันเคยอยู่ โดยไม่ได้ยินเสียงใครบ่นอะไรและเหมือนไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น.
กัปตันไก่พาเรือออกมาจนถึงร่องน้ำลึกของช่องแคบมะละกา โดยตั้งเข็มมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันตก หลังจากนั้นจึงเรียกคุณบันเทิงมารับช่วงถือท้าย ในขณะที่คลื่นลมยังโหมกระหน่ำอยู่ตลอดเวลา
ประมาณ 10 โมง ฝนซาเม็ด ท้องฟ้าเปิดเล็กน้อย ยังไม่มีแดด ระดับความสูงของคลื่นยังอยู่ที่ประมาณ 2-3 เมตร ซึ่งถือเป็นระดับปกติธรรมดาของทะเลย่านนี้ในหน้ามรสุม
บังใจกับยุทธช่วยกันส่งชาม ช้อน หม้อข้าวต้มปลาเก๋าควันโชยหอมฉุย ขึ้นมาจากห้องครัวโดยมีบังหมาน คอยรับอยู่บนดาดฟ้า ทยอยจัดวางบริเวณที่นอนของพวกเรา  ซึ่งเป็นพื้นที่เอนกประสงค์สำหรับทุกกิจกรรม ส่วนผมใช้มือมั่ง ตีนมั่ง คอยสกัดกั้นอุปกรณ์การกินเหล่านั้นให้อยู่กับร่องกับรอย เพราะถ้าปล่อยตามยถากรรม มีหวังคลื่นโยกหม้อข้าวต้มล้มคว่ำตีลังกา เป็นได้อดกัน.
เมื่อทุกคน(ยกเว้นคุณบันเทิงที่ถือท้าย กินทีหลัง) ลงนั่งล้อมวงเป็นที่เรียบร้อย บังหมาน ค่อยๆตักข้าวต้มส่งให้รายตัว ข้าวต้มกำลังร้อน เรือโยกโคลงเคลงตลอดเวลา การกินข้าวต้มมื้อนี้ ทุกคนจึงต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวอย่างสูง  ต้องพิถีพิถันและระมัดระวังเป็นพิเศษ หากพลาดพลั้ง ช้อนข้าวต้มร้อนๆ ทิ่มเอาหน้า พาเป็นเรื่องเศร้าทันที
แต่สถานการณ์ก็ผ่านไปได้ด้วยดี ไม่มีอุบัติเหตุเกิดขึ้นกับใคร..
หลังจากเสร็จภารกิจเติมพลังและเคลียร์ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม ทุกคนมานั่งชุมนุมกันบนดาดฟ้า พร้อมหน้าพร้อมตา
กัปตันไก่ พูดขึ้นเปรยๆ “วันนี้เราจะแล่นทั้งวันและคืนนี้อีกคืน ถ้าไม่มีอะไรเกิดขึ้น กะว่าพรุ่งนี้เช้า จะแวะเติมน้ำมันที่ Admiral Marina
“ก็ต้องลุยพายุกันทั้งคืน” บังใจ พูดขึ้น
“มันจำเป็น!.. เราเสียเวลามาหลายวันแล้ว งานนี้ คงเข้าถึงภูเก็ตช้ากว่ากำหนดหลายวันแน่” กัปตันไก่ แสดงอาการหนักใจ
“บริษัทคงไม่ว่าอะไร เพราะเขาก็รู้ว่ามีพายุ” คุณบันเทิงพูดในถานะตัวแทนของบริษัท
“เรื่องนั้น ไม่สำคัญเท่ากับค่าโสหุ้ย ของพวกเราที่มันเพิ่มขึ้น และบริษัทก็ไม่ได้เพิ่มให้เรา” กัปตันไก่พูดถึงปัญหา
“ปัญหาผมสำคัญกว่า ไปออกบวชไม่ทัน อิอิ” บังหมาน ทะลุขึ้นมา แบบไม่ได้จริงจังอะไร
“ถุย!..มึงบวชตั้งแต่เมื่อไหร่.. กูเห็นมึงแดกทุกมื้อ” ยุทธ คู่หูบังหมาน ขัดขึ้นทันที
“ไปบวชวันสุดท้ายก็ได้ ไม่มีใครรู้ที” บังหมาน แถกเหงือก
“กูนี่แหละรู้ ว่ามึงไม่ได้บวชสักวันที” ยุทธว่า
“ก็แกล้งทำไม่รู้มั่งแหละ อิอิ” บังหมาน พูดเสียงอ่อยๆ

ลูกแรก ก่อนอาหารเที่ยง มืดทะมึน มาจากขอบฟ้า

ก่อนที่ยุทธจะพูดอะไรต่อไป กัปตันไก่ ชิงพูดขึ้นว่า “พอ..พอ..ไม่ต้องเถียงกัน ยังไงก็ไม่ทันอยู่แล้ว.. พวกมึงดูโน่น!..พ่อมึงมาอีกแล้ว” พร้อมกับบุ้ยปากไปทางหัวเรือ
และเมื่อพวกเรามองไปทางหัวเรือ ทุกคนเงียบกริบ พูดอะไรไม่ออก นั่งกันตัวแข็ง!!!..
สิ่งที่ทุกคนเห็นคือ พายุฝนที่กำลังก่อตัวมืดทะมึนคลุมเต็มแนวขอบฟ้า ในทิศทางที่เรากำลังมุ่งหน้าไป คลื่นแตกดอกขาวเต็มท้องทะเล ลมที่แรงอยู่แล้ว เพิ่มความแรงขึ้นอีกเท่าตัว
“เอ้า..อย่านั่งแลกันอยู่แหละ เตรียมตัวลุยกันได้แล้ว เก็บทุกอย่างเข้าที่ เตรียมชูชีพและมัดถังแกลลอนน้ำมันเปล่าไว้ด้วย” กัปตันไก่ พูดหนักๆ
“ไอ้หมาน!.. ลงไปแลเครื่องยนต์ของมึงให้ดี ถ้าปล่อยให้เครื่องเสียตอนนี้ มึงได้ไปออกบวชในทะเลแน่”  ตามด้วยคำสั่งติดตลกแบบไม่มีความรู้สึกหวั่นไหวใดๆ
นั่นแหละทุกคน จึงได้ไหวตัวเยือก เหมือนถูกช๊อตด้วยไฟฟ้า 220 โวลท์
บังหมาน รีบตาลีตาเหลือกลงห้องเครื่อง ไม่รู้ลงไปสวดมนต์ขอพรจากอัลเลาะห์หรือทำอะไรก็ยากจะเดา
ยุทธ ตามติดๆลงไปห้องครัว จากนั้นได้ยินเสียง จาน ช้อน หม้อ กะละมัง กระทะ ตะหลิว กระทบกันฟังไม่ได้ศัพท์
บังใจ จัดการเตรียมชูชีพและเอาแกลลอนถังน้ำมันเปล่าๆ มามัดรวมกันไว้ ด้วยเหตุผล หากถึงขั้นต้องสละเรือ พวกเราจะต้องเกาะแกลลอนน้ำมันนั้นด้วยกันทุกคน ตามที่ได้ตกลงกันไว้ตั้งแต่เริ่มออกเดินทาง
กัปตันไก่ เข้าถือท้ายแทนคุณบันเทิง ที่ต้องเก็บอุปกรณ์เกี่ยวกับเรือเข้าไว้ในที่ ที่มันควรจะอยู่
ส่วนผม เก็บหมอนและผ้าห่มที่กองรวมอยู่บนดาดฟ้า พาลงไปไว้ในห้องนอนชั้นล่าง ซึ่งเป็นหน้าที่ ที่ไม่ต้องมีใครบอก
ไม่เกิน 10 นาที..ขณะที่ทุกคน ยังสาละวนอยู่กับภาระหน้าที่ของตัวเองอยู่นั้น ลม ฝน คลื่นระลอกแรกก็กระหน่ำโครมเข้าใส่เต็มๆ เรือถอยหลังเยือก หัวเป๋ไปทางซ้าย แล้วมุดวูบปักดิ่งลงในระหว่างร่องคลื่น ทำให้ใบเรือที่ม้วนแขวนอยู่กับเสากระโดง เหวี่ยงกระแทกกับเสากระโดงตึงใหญ่ จนเรือสะเทือน ไปทั้งลำ อึดใจใหญ่ๆ จึงทะลึ่งกลับขึ้นมาเหมือนถูกมือยักษ์จับผลัก พร้อมๆกับตักเอาน้ำทะเลขึ้นมาสาดเทท่วมพื้นดาดฟ้าตอนหัว บางส่วนกระฉอกเลยมาถึงพื้นดาดฟ้าตอนท้าย อันเป็นที่หลับ ที่นอน ที่กินของพวกเรา
กัปตันไก่ ใช้ศักยภาพความเป็นกัปตันสูงสุดในการบังคับให้หัวเรืออยู่ในตำแหน่งสู้คลื่น เพราะถ้าหากลำเรือขวางคลื่นเมื่อไหร่ เตรียมตัวสละเรือได้ทันที
บังใจ คุณบันเทิงและผมที่ขึ้นจากห้องท้องเรือมาตอนที่เรือมุดหัวลงพอดี ต่างก็ล้มกลิ้งอยู่บนดาดฟ้า คนละทิศ คนละทาง เปียกเป็นลูกแมวตกร่องน้ำ ยังโชคดีที่ไม่มีใครถูกเหวี่ยงลงทะเล
ส่วนบังหมานกับยุทธ ที่อยู่ในระวางท้องเรือ ไม่รู้ว่าตกอยู่ในชะตากรรมอย่างไร..
ขณะที่พวกเรายังยักแย่ ยักยันกันอยู่นั้น คลื่นลูกที่สองก็ซ้ำเข้ามาอีกโครม หนักกว่าครั้งแรกสองเท่าตัว เรือเอียงวูบ หัวเป๋ ถอยหลังกรูด...คราวนี้พวกเราทั้งสามคน ต่างก็คว้าเชือกที่มัดถังแกลลอนน้ำมันพร้อมกันเหมือนนัดกันมาก่อน ผม..ลืมคาถาหลวงปู่ทวดสนิท..
“เฮ้!..ใครก็ได้ เอาเชือกมามัดกูที” ได้ยินเสียงกัปตันไก่ ตะโกนดังๆแข่งกับเสียงลมฝน อื้ออึง..
เป็นหน้าที่ของคุณบันเทิง ที่ต้องละจากถังแกลลอนชูชีพใช้ความพยายามคลานสี่ขา ไปดึงเอาเชือกที่มัดเก็บไว้ตั้งแต่ทีแรก แล้วพาคลานไปมัดเอวกัปตันไก่ไว้กับเสาหลังคาอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้เรือเหวี่ยงลงทะเล กะว่าถ้าเรือจมกัปตันก็ต้องจมไปกับเรือด้วย ไม่มีทางรอด!. เพราะแก้เชือกไม่ออก.. จากนั้นจึงกระโจนกลับมานอนกอดถังแกลลอนแน่นเหมือนกอดเมียตอนฝนตก
พวกเราสู้อยู่กับลมหัวฝน ในสภาพเกือบจะไป เกือบจะอยู่ ร่วมชั่วโมง ความหฤโหดจึงได้เบาบางลง ความแรงของลมลดลงเหลือไม่เกิน 50 กิโลเมตรต่อชั่วโมง สายฝนที่กระหน่ำเข้าใส่เหมือนลูกเห็บหายไป เหลือเพียงละอองฝนโปรยปราย คลื่นระดับความสูง 4-5 เมตร ลดลงเหลือไม่เกิน 3 เมตร แต่ยังแตกดอกขาวโพลนทั่วท้องทะเล อากาศเย็นชื้น หนาวสะท้านลงไปถึงท้องน้อย
กัปตันไก่เรียกบังใจ ให้ช่วยแก้เชือกที่มัดเอวและให้รับช่วงถือท้ายต่อไป ตัวเองถอยมานั่งจุดบุหรี่สูบ มือสั่นยิก เพราะความหนาวจากการยืนโต้กระแสลมและฝน
ผมกับคุณบันเทิง ช่วยกันเก็บอุปกรณ์ต่างๆ ที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วไป เข้าที่เข้าทาง บังหมานและบังใจ ขึ้นจากระวางท้องเรือมานั่งบนที่นั่งริมกราบขวา ทุกคนมองหน้ากันแล้วยิ้มให้กันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น !?......หัวจิต หัวใจของพวกนี้ทำด้วยอะไร!?...
บังหมาน มองหน้ากัปตันไก่ยิ้มๆ แล้วยักคิ้วแผล็บ ก่อนพูดว่า “ยังมีอีกมั๊ยกัปตัน?”
“อ๋อ..ไม่ต้องห่วง ยังมีให้มึงกินอีกเยอะ เฮ่อะ เฮ่อะ..” กัปตันไก่ พูดพร้อมกับหัวเราะหนักๆ
“กว่าจะถึงภูเก็ต มึงได้กินจนหายอยากแหละเที่ยวนี้” พูดต่อด้วยสีหน้ายิ้มๆ แต่หันหน้ามองไปทางหัวเรือ สังเกตสภาพท้องทะเล
“แต่ ผมอิ่มจนจะอ๊วกแล้วกัปตัน อิอิ..” บังหมานว่า..พร้อมกับหัวเราะกวนตีน
เวลาผ่านไปอย่างช้าๆ สภาพอากาศเริ่มดีขึ้น ฝนขาดเม็ด กระแสลมปกติ คลื่นเบาบางลง ท้องฟ้าเปิด ทัศน์วิสัยโล่ง มองเห็นเมืองท่ามะละกาลิบๆทางด้านกราบขวาของเรือ
ในทะเลบริเวณนี้ มีซั้งของชาวประมงอยู่ทั่วไป ต้องคอยหลบหลีกตลอดเวลา ถ้าเป็นเวลากลางคืน คงเป็นเรื่องเสี่ยงพอสมควร หากคนถือท้ายขาดการสังเกตอย่างรอบคอบ มีสิทธิได้พาเรือเข้าไปติดอยู่ในซั้ง ซึ่งนึกภาพไม่ออกว่ามันจะระทึกขนาดไหน
ประมาณบ่ายโมงเศษ พวกเราก็ได้กินข้าวเที่ยงจากกุ๊กยุทธอีกมื้อ โดยยังมีเนื้อปลาเก๋าตัวนั้นเป็นเมนูหลัก

เรือยักษ์ ในแฟร์เวย์ ห่างออกไปประมาณ 20 ไมล์
กัปตันไก่ พล๊อตเข็มเดินเรืออีกครั้ง โดยตั้งเข็มไปที่ตะวันตกเฉียงเหนือนิดหน่อย ซึ่งเป็นแนวขนานกับชายฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศมาเลเซีย แต่ยังอยู่ในริมแฟร์เวย์ของช่องแคบมะละกา มองออกไปทางกราบซ้าย ห่างออกไปลิบๆ..ในแฟร์เวย์ เห็นเรือยักษ์แล่นตามหลังกันเป็นแถว เหมือนภูเขาลอยน้ำ
ก่อนค่ำของวันนั้น เราเจอเข้ากับพายุอีกครั้ง แต่ไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับเมื่อตอนกลางวัน หากแต่ระยะเวลา ยาวนานกว่าเท่าตัว เล่นเอาพวกเราหมดเรี่ยวหมดแรง อ่อนระโหยไปตามๆกัน และกว่าจะผ่านพ้นกระทั่งได้ตั้งหลักกินข้าวมื้อค่ำก็เกือบ 4 ทุ่ม หลังจากนั้น ต่างก็หามุมพักผ่อนกันเงียบๆ บนพื้นดาดฟ้าที่ยังเปียกชื้น
 
ลูกที่2 ก่อนอาหารค่ำ

คืนนี้บนฟ้าไม่มีดาวให้มอง เนื่องท้องฟ้ามืดสนิท ในทะเลรอบๆ ไม่มีแสงไฟให้เห็น แม้กระทั่งแสงไฟจากชายฝั่ง เพราะเรือเราแล่นห่างออกมาจากฝั่งไกลมาก ได้ยินเพียงเสียงของเครื่องยนต์ที่ครางอย่างสม่ำเสมอและเสียงคลื่นที่วิ่งเข้ามากระแทกข้างลำเรือเป็นระยะๆ ผมมีความรู้สึกเหมือนมีเรือของเราเพียงลำเดียวเท่านั้น ที่แล่นอยู่ในความมืดของนรก..
ผมหลับไปตอนไหนไม่รู้..มารู้สึกตัวอีกทีเมื่อได้ยินเสียงคุณบันเทิงที่กำลังถือท้าย เรียกกัปตันไก่ ซึ่งนอนอยู่บนที่นั่งด้านหลังใกล้ๆ
“กัปตัน ลุกขึ้นมาดูอะไรหน่อย”
“อะไร?” เสียงกัปตันไก่ อู้อี้
“ลุกขึ้นมาดูหน่อย อยู่ไม่ไกล แต่ผมมองไม่ชัด” เสียงคุณบันเทิงเร่ง
ผมลุกขึ้นนั่งทันได้เห็น คุณบันเทิงชี้ไปที่แสงไฟสีแดงมัวๆ ในความมืด บนมุมสูงทางด้านซ้ายของหัวเรือ ห่างออกไปไม่ไกล
พร้อมกับถามกัปตันไก่ “นั่นไฟอะไรกัปตัน?”
กัปตันไก่ มองไปที่แสงไฟสีแดงมัวๆนั่น อย่างพินิจพิจารณา
แล้ว..อึดใจต่อมา “เฮ้ย...เรือสินค้า.. ตีหัวออกขวาเร็ว” กัปตันไก่ ตะโกนใส่คุณบันเทิงเสียงดังอย่างตกใจ
ทุกคนลุกขึ้นจากที่นอนพรวดพราด เหมือนนัดกันไว้ พร้อมๆกับเรือเอียงไปทางกราบซ้ายวูบใหญ่ จากการหักเลี้ยวขวาอย่างกะทันหัน มีใครบางคน ไถลมาชนผม
หลังจากที่เรือตั้งลำได้จากอาการเอียง ผมเห็นแสงไฟสปอตไลท์จากมุมสูง ส่องสว่างจ้ามาที่เรือของเรา แสงสะท้อนจากผิวน้ำทะเล ทำให้ผมมองเห็นกำแพงสีน้ำตาลทึมๆ สูงขึ้นไปประมาณตึกเจ็ดชั้น เคลื่อนตัวผ่านเรือเราไป ในระยะความห่างไม่เกิน 50 เมตร
“ไอ้ฉิบหายบันเทิง!.. ถือท้ายพันปรือ วิ่งเข้าไปหาเรือสินค้า” เสียงบังหมานโวยวาย
“ระวัง!.คลื่นจากท้ายเรือสินค้า” เสียงกัปตันไก่ เตือนมาดังๆ
ยังไม่ทันขาดคำ เรือของเราเกิดอาการหมุนคว้าง เอียงวูบวาบ เสียการทรงตัว โดยสิ้นเชิง
“หยุดใบจักร ปลดเกียร์” เสียงกัปตันไก่ สั่งคุณบันเทิง ก่อนจะลุกขึ้นไปแย่งพังงาเรือจากคุณบันเทิง
เกือบ 10 นาที ที่เรือเราหมุนคว้างอย่างไม่มีทิศทาง อยู่ในความมืดมิด ภายใต้การบังคับของกัปตันไก่
กระทั่งทุกอย่างกลับเข้าสู่ภาวะปกติ กัปตันไก่ สั่งให้บังหมาน เปิดไฟสว่างขึ้นทั้งลำ จึงได้เห็นคุณบันเทิงยืนหน้าเขียวเป็นพระอินทร์...
ผมมองไปที่เข็มทิศเดินเรือ ตรงหน้าพังงาเรือใกล้ๆจอ จีพีเอส. เห็นท้ายเรือหันไปทางตัว N ของเข็มทิศ ส่วนหัวเรือชี้ไปทางตัว S ของเข็มทิศ ซึ่งมันเป็นคนละทิศกันกับเส้นทางที่เราจะไป
กัปตันไก่ กดปุ่มหน้าจอ จีพีเอส.ค้นหาเส้นทางที่พล๊อตไว้แต่เดิม
“บันเทิง ถือท้ายพันปรือ..พาเรือหลุดเข็มออกมากลางแฟร์เวย์เกือบยี่สิบไมล์” กัปตันไก่บ่นออกมาดังๆ หลังจากปรับ จีพีเอส.และสังเกตเห็นความผิดปกติ
เงียบ!..ไม่มีเสียงจากคุณบันเทิง
“มันหลับนะสิ...เกือบพาพวกเราลงนรก” มีเสียงบังหมาน ดังขึ้นมาแทนอย่างฉุนๆ
กัปตันไก่ ไม่พูดอะไรต่อ แต่ลงมือปรับเส้นทางเดินเรืออีกครั้ง และบังคับเรือตั้งลำให้แล่นไปตามเข็มที่พล๊อตขึ้นมาใหม่ เมื่อเวลาตี 2 ซึ่งเป็นเวรของยุทธ รับช่วงเป็นคนถือท้ายต่อไป.
บังหมาน ปิดไฟในเรือมืดสนิทเหมือนเดิม เหลือเพียงไฟบนยอดเสากระโดงกับไฟเดินเรือ สีเขียว แดง บนหลังคาด้านซ้าย ขวา แล้วทุกอย่างก็กลับเข้าสู่ปกติ เรือแล่นฟันคลื่นต่อไป ไม่มีเสียงพูดคุยจากใคร ทุกคนเข้าหาที่นอนของตัวเอง จะมีใครหลับหรือไม่ ผมไม่รู้!?..
แต่...ผมหลับลงอีกครั้ง...ด้วยความเหน็ดเหนื่อย อ่อนเพลีย...
*** โปรด รอติดตามตอนต่อไป ***

ไม่มีความคิดเห็น: