วันพฤหัสบดีที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2553

วันที่สอง มุ่งหน้าเข้าท่าเรือสงขลา

ปากน้ำสงขลา
---------------
เช้าวันที่สองของการเดินทาง(19 กันยายน 51) ผมตื่นตั้งแต่ ตีห้ากว่าๆ อยู่ในทะเล ตีห้ากว่านี่ ฟ้าก็เริ่มสว่างแล้ว ดวงอาทิตย์กำลังจะมาเยือน เฮ้อ..คืนแรกรอดมาได้แล้วเว้ย... ผมรู้สึกแบบนั้นจริงๆ

ทุกคนยังหลับสบายอยู่บนดาดฟ้านั่นแหละ ( ยกเว้น ยุทธ ซึ่งเข้าเวรถือท้าย ) ไม่มีใครนอนในห้องนอนกันเลยสักคน จริงๆแล้ว การนอนบนดาดฟ้าเรือ ก็สบายดี เรายกเอาฟูก หมอน ผ้าห่ม จากในห้องนอน ขึ้นมาบนดาดฟ้า เลือกตามมุมถนัดของแต่ล่ะคน ซึ่งจะหันหัว ทำมุมเฉียงๆ ไปทางด้านท้ายเรือ เพราะท้ายเรือ จะเอียงลาดกระดกสูงขึ้นนิดหน่อย ประมาณ 10-15 องศา และ หันปลายเท้า เฉียงไปทางกราบเรือ แต่ล่ะข้างพอประมาณ

ลักษณะการนอนแบบนั้น เวลาเรือโคลงตามคลื่น ก็จะไม่กลิ้งไป กลิ้งมา ตามการโคลงของเรือ แต่ถ้านอนหันหัวหันเท้าตามความยาวของลำเรือ ตอนนอนหลับเพลินๆ เมื่อมีคลื่นแรงๆ อาจจะกลิ้งตกทะเลไปเลยก็เป็นไปได้ หรืออย่างน้อยๆ ก็ไม่มีทางหลับได้เด็ดขาด

ลองนึกดูว่า นอนบนฟูกนุ่มๆ หมอนนุ่มๆ ผ้าห่มหนานุ่ม สบาย ๆ แต่มีใครก็ไม่รู้ มาคอยผลัก ซ้ายที ขวาที กลิ้งไป กลิ้งมาทั้งคืน ถ้าหลับได้ก็บ้าแล้ว. ฮิ..ฮิ.

เมื่อคืนที่ผ่านมา ผมนอนหลับๆ ตื่นๆ ตลอดคืน เพราะอาจจะยังไม่ชินกับสภาพการนอนแบบนั้นหรืออาจจะกังวลอะไรสักอย่างอยู่ลึกๆ ก็ไม่แน่ใจ ตอนดึก ผมลุกไปนั่ง ยองยองฉี่ ข้างกราบเรือหนหนึ่ง มืดมากๆ มองเห็นเฉพาะน้ำที่แตกกระจายเป็นฟองขาว เมื่อกระทบกับข้างลำเรือ เสียวๆ ว่าจะหล่นจ๋อม ลงไปเหมือนกัน

เออ..! แล้วทำไม.? ไม่ลงไปเข้าห้องน้ำล่ะ ห้องน้ำออกสบาย ท่านอาจจะสงสัย?
มันค่อนข้างยุ่งยากพอสมควรครับ ท่านผู้ชม เพราะว่า..

1.ต้องเปิด ฝาครอบบันไดลงไป ซึ่งจะทำให้เสียงเครื่องยนต์ดังขึ้นมารบกวนคนอื่นๆ ที่กำลังหลับ(หรืออาจจะไม่หลับ)

2.แสงไฟจากห้องเครื่อง จะสว่างขึ้นมารบกวนคนอื่นๆ ที่กำลังนอนและเข้าตาคนถือท้ายด้วย (การแล่นเรือกลางคืนต้องปิดไฟหมด เปิดเฉพาะไฟแล่นเรือ แดง เขียว ซ้ายขวาและไฟเสากระโดงเท่านั้น)

3.ลงไปแล้ว จะต้องเดินอ้อมหรือข้ามห้องเครื่อง ที่เปิดฝาครอบเอาไว้เพื่อระบายความร้อน

สรุปว่า มันเป็นการยุ่งยากมากทีเดียวและยังมีเหตุผลอื่นที่สนับสนุนให้ผมทำแบบนั้น คือเห็นคนอื่นๆ เขาก็นั่งเยี่ยว ยืนเยี่ยว ตามข้างแคมเรือนั่นแหละ (แต่ไม่มีใครนั่งขี้ท้ายเรือเหมือนลูกเรือประมง) ผมก็เลยเอามั่ง รู้สึกว่าจะมักง่ายดี แฮะ แฮะ.
---------------------------------
ยุทธ ปิดไฟเดินเรือ ปิดไฟเสากระโดง เมื่อฟ้าสว่าง ผมลุกขึ้นอย่างเพลียๆ เก็บที่นอนวางแอบๆไว้บนดาดฟ้าเหมือนคนอื่นๆ (อีกแล้ว) ต่อจากนั้นก็ลงไปที่ห้องนอน ทำภารกิจส่วนตัวเสร็จสรรพ ประมาณ 6โมงเศษๆ จัดการชงกาแฟ 2 ถ้วย เผื่อ บังหมาน ที่เพิ่งลุกมาเข้าเวรถือท้ายต่อจาก ยุทธ ตอน 6 โมง

บังหมาน รับถ้วยกาแฟจากผม ด้วยความเกรงใจ และบอกว่า “ทีหลัง พี่สาม ไม่ต้องชงให้หรอก เพราะ พี่สาม เหมือนแขก วี.ไอ.พี.” ว่าเข้าไปนั่น เล่นเอาผมเขินไปเลย “เอาว่ะ พี ก็ พี” เด็กมันให้เกียรติ ในความอาวุโส ก็ดีเหมือนกัน ซึ่งวันต่อๆมา ตลอด การเดินทาง ไม่มีใครยอมให้ผมเข้าครัวทำอาหารสักมื้อเดียว(อาจจะไม่เชื่อว่าผมทำกับข้าวให้คนกินได้)หรือแม้แต่จะยกกับข้าวมาวางกินกัน ยกเว้นถ้าผมหิวผิดเวลาล่ำเวลา ผมก็ต้องเข้าครัวหากินเอาเอง (ผิดเวลา ใครมันจะบ้า ยกมาประเคนให้เล่าจริงมั๊ย พี่น้อง ) เป็นอันว่า ผมได้รับสิทธิเท่า กัปตันไก่ ทีเดียวเชียว ไม่ใช่เล่นๆ นา ท่านผู้ชม .

ได้จังหวะเหมาะ ผมเลยถือโอกาสคุยกับ บังหมาน ซอกแซกถามเรื่องส่วนตัว นิดๆหน่อยๆ

ได้ความว่า บังหมาน เป็น คนอิสลาม อยู่บ้านไม้ขาวภูเก็ตนั่นเอง อายุ 30 เศษ เคยมีครอบครัว มีลูกสองคน แต่แยกทางกันมาประมาณปีกว่า ตอนนี้ บังหมาน ก็เลยเป็นโสด แต่กำลังมี กิ๊ก

ผมขยักไว้แค่นั้น ชวนคุยเรื่อง สัพเพเหระ เรื่อยเปื่อย คนอื่นๆ ทยอยตื่น ลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัว ตามห้องของตนเอง แล้วก็หาอาหารเช้ากินกัน

ปกติตอนเช้าไม่มีการทำกับข้าว ใครอยากจะกินอะไร ทำกันเอาเอง ส่วนใหญ่ ก็เป็น กาแฟ ขนมปัง ไข่ดาว ไส้กรอกไก่ (ไม่มีแฮมเบอเกอร์ครับ เพราะบนเรือ มีอิสลาม4 พุทธ2) แบบที่ ฝรั่ง เขากินกัน ข้าวเช้าจะกินกัน ประมาณ 10 หรือ 11 โมง บางวัน ก็เลยเที่ยง ซึ่งก็แล้วแต่เหตุการณ์


ถือท้ายเป็นครั้งที่2 ของการเดินทาง 2ชั่วโมงเต็มเท่าคนอื่นๆ ทีมงานช่วยกันลุ้นเต็มที่
และจะเห็นที่นอนของพวกเรา วางซุกอยู่ใต้โต๊ะกินข้าวด้านหลัง
---------------------------------------
พอ 8 โมงเช้า ผมได้เป็นกัปตันอีกครั้ง (เว่อร์อีกแล้ว แค่รับเวรถือท้ายเท่านั้น) ต่อจากบังหมาน ซึ่งก็ถอยไปนั่งลุ้นอยู่ข้างๆ

ส่วน กัปตันไก่ นั่งเป็นพี่เลี้ยงอยู่ด้านหลังเหมือนเดิม ประเภทติวเข้ม คุมแจ กลัวผมพลาด คงต้องเสียหน้าไม่น้อย เพราะคุยใว้เยอะ

ผมถือท้ายได้สักพัก เมื่อได้โอกาสผมหันไปถามว่า “เรามาถึงไหนกันแล้ว?” ได้รับคำตอบจาก กัปตันไก่ ว่า เรือแล่นอยู่ระหว่าง อำเภอท่าศาลา กับ อำเภอปากพนัง จ.นครศรีธรรมราช (แล่นมาทั้งคืน มาได้แค่นี้เอง)

 อ้อ..หน้าบ้านเรานี่เอง ท่านผู้อ่านอาจจะยังไม่รู้ว่า ผมกับกัปตันไก่ บ้านเดิม อยู่ที่ เขามหาชัย (คนภูเขาแท้ๆ ไม่มีเลือดทะเลสักหยด) ติดกับ มหาวิทยาลัยราชภัฏนครศรีธรรมราช อำเภอเมือง แต่มีเขตติดต่อกับ อำเภอพรหมคีรี และ อำเภอท่าศาลา ซึ่งเป็นบ้านเกิดของ บังใจ อีกคน ( บังใจ เป็นคนพุทธ เกิดที่ อำเภอท่าศาลา แต่ไปมีเมีย อิสลามภูเก็ต ที่เขาเรียกว่า “เข้าแขก” จึงต้องเรียก บัง ตามธรรมเนียม)

ผมพยายามมองไปทางทิศตะวันตก หวังว่าจะได้เห็น “เขามหาชัย” “ เขากรุงชิง” หรือ “เทือกเขาหลวง” แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะเรือเราแล่นอยู่ห่างจากฝั่งมาก จะเห็นก็เพียงทิวสีน้ำเงินรางๆ นิดเดียว พอรู้ว่าเป็นแผ่นดิน แต่แยกไม่ออกว่าตรงไหนเป็นภูเขาอะไร.?


บังใจ ถือท้ายต่อจากผู้เขียน
--------------

จนกระทั่ง 10 โมงเช้า บังใจ จึงเข้ามารับช่วงถือท้ายต่อจากผม ส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำภารกิจของตัวเอง เช้านี้ คุณบันเทิง เข้าครัวเป็นเชฟ

นั่นคือทีมเวิร์คของพวกเขา ส่วนผมเป็นได้แค่คนถ่ายรูป
--------------------------

พวกเรา กินข้าวเช้ากันเกือบ 11 โมง มีแพนงเนื้อเป็นตัวชูโรง จากฝีมือของคุณบันเทิง เสร็จจากกินข้าว ต่างคนต่างก็อยู่คนล่ะมุม ผมได้หนังสือ “คู่สร้าง-คู่สม” ฉบับเก่าๆ ของปีก่อน ยับยู่ยี่ ไม่แน่ใจว่า จะเป็นคุณ บันเทิง หรือใครสักคน เอาติดมา 5-6 เล่ม พอได้อ่านแก้เซ็ง พอหนังท้องตึง ลมเย็นๆ เรือโคลงพอประมาณว่านอนเปลยวน หนังตาหย่อน คุณเอ๋ย หลับไม่ทันรู้ตัวจริงๆ

ผมตื่นมาอีกที เกือบบ่าย 2 ดวงอาทิตย์ไปอยู่ทางตะวันตกของกราบเรือ รู้สึกหิวและเพลียนิดหน่อย อาจจะเพราะนอนตากแดดหรือหลับกลางวัน ก็ไม่แน่ใจ

ลุกขึ้นมานั่งสูบบุหรี่ หมดมวน จึงลงไปในครัว ตักเข้าราดแกง พะแนงเนื้อที่เหลือจากเมื้อเช้า แล้วขึ้นมานั่งกินบนดาดฟ้า จานเดียวพออิ่ม เมื้อกลางวันไม่มีการตั้งวง ใครหิวหากินเอาเอง ตามความพอใจ

เสร็จเรียบร้อย โรงเรียน " พี่สาม " มานั่งคุยกับพรรคพวก บนดาดฟ้า เริ่มจะมองเห็น เรือลำใหญ่ๆ แล่นอยู่ไกลลิบๆบ้างแล้ว กัปตันไก่ บอกผมว่า เรากำลังใกล้จะถึง ปากน้ำทะเลสาบสงขลา


เข้าเขตสงขลา เริ่มมองเห็นเรือสินค้าแล่นอยู่ลิบๆ
--------------------------- 

และเมื่อเรือแล่นมาซักพัก ผมก็เริ่มเห็น เกาะหนู, เกาะแมว ที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสงขลา
ขณะนั้นประมาณ 4 โมงกว่า มองเห็นกระโจมไฟ ปากร่องน้ำทะเลสาบสงขลา อยู่ด้านหัวเรือ เยื้องไปทางขวามือ

กัปตันไก่ เข้าทำหน้าที่ถือท้ายเอง นำเรืออ้อมกระโจมไฟ เข้าร่องน้ำ แล่นผ่านเรือบรรทุกน้ำมัน เรือสินค้า ที่จอดทิ้งสมอ รอเทียบท่าอยู่หลายลำและที่แล่นสวนออกมา ก็หลายลำ


กำลังแล่นเข้าปากน้ำทะเลสาบสงขลา
--------------------------

ขณะนั้นเป็นช่วงน้ำลง เรือแล่นทวนน้ำเข้าไปได้อย่างช้าๆ ต้องระมัดระวังมาก ผิดร่องน้ำนิดเดียว มีสิทธิ เป๋ไปฟาดกับเรือเหล็กลำโตๆนั่นเข้า เรือยอช์ทลำหรูก็จะได้กลายเป็นเศษไม้ไปในพริบตา


เยื้องหัวเรือด้านขวาเป็นท่าเรือน้ำลึกสงขลา
---------------------
เกือบ 6 โมงเย็น อากาศเริ่มปิด ฝนลงปรอยๆ ขณะที่มาถึงท่าเทียบเรือสงขลา

ที่ท่าฯ มีเรือทัวร์ดำน้ำ (Tour Diving) สองชั้น จอดเทียบกันอยู่ก่อนแล้ว 2 ลำ

กัปตันไก่ นำกราบซ้ายเรือเข้าไปจอดเทียบกับกราบขวาของเรือลำนอก คนบนเรือทัวร์ Diving รับเชือกจาก บังใจ ที่โยนไปให้ เขารับเชือกแล้วผูกให้เสร็จเรียบร้อย(เป็นธรรมเนียมของคนเรือ ที่มีน้ำใจ ผูกเชือกและแก้เชือกให้แก่กัน)  แล้วถาม บังใจ ว่า "จะไปไหน?” เขาคงเคยเห็นเรือ "สุวรรณมัจฉา" ลำนี้ ทำทัวร์อยู่ที่ เกาะสมุย

บังใจ ตอบว่า “จะไป ภูเก็ต” ส่วนเขาบอกว่าจะไปภูเก็ตเหมือนกัน บังใจ บอกผมว่าปกติเรือ 2 ลำนี้ ทำทัวร์ดำน้ำ (Tour Diving) อยู่แถวๆ เกาะเต่า และ หมู่เกาะอ่างทอง แต่พอฝั่งนี้ เป็นหน้ามรสุม เขาก็จะนำเรือไปภูเก็ต เพื่อทำ Tour Diving ที่หมู่ เกาะสิมิลั และหมู่เกาะสุรินทร์ ทางฝั่ง ทะเลอันดามัน เหมือนกัน

หลังจากที่เรือเทียบอยู่ตรงนั้นสักพัก ยังไม่ทันดับเครื่องยนต์ กัปตันไก่ พูดกับทุกคนดังๆว่า "จะย้ายที่เทียบเรือ" แล้วบอกเหตุผลกับทุกคนว่า จอดเทียบตรงนี้เวลาจะขึ้นบก จะลำบากมาก เพราะต้องปีนขึ้นชั้นสอง ของเรือทัวร์ Diving ลำที่ติดกันและจะต้องข้ามไปอีกลำ แล้วปีนลงไปที่กราบเรือ จึงจะขึ้นท่าเรือได้ ถ้าย้ายไปเทียบกับ ร้านอาหาร ลอยน้ำ ที่อยู่ถัดไปทางด้านท้ายเรือทัวร์ จะติดกับท่าเทียบเรือมากกว่า ระดับก็ต่ำกว่ากราบเรือยอช์ท จะสะดวกเวลาขึ้น-ลงและเข้าใจว่าร้านอาหารก็ไม่ได้เปิดให้บริการ (ผมนึกเสียดายขึ้นมาทันที)ทุกคนเห็นด้วยและเตรียมออกเรืออีกครั้ง

บังใจ จึงจัดการแก้เชือก ผลักหัวเรือออก ขณะนั้นน้ำกำลังลงและไหลเชี่ยวมาก

กัปตันไก่ เร่งเครื่องเดินหน้าเต็มที่ แล่นทวนน้ำขึ้นไปนิดหน่อย แล้วเบนหัวเรือ ออกขวาให้ไหลตามน้ำ แล้วจะตีวงเลี้ยวขวากลับลำ เพื่อเอาหัวเรือทวนน้ำอีกที จะได้เอากราบซ้ายของเรือเข้าเทียบร้านอาหาร

แต่น้ำที่ไหลมาจาก ทะเลสาบสงขลาออกสู่ทะเล กำลังเชี่ยวมาก แทนที่เรือจะเลี้ยวขวาทวนน้ำ กลับไหลตามน้ำ ไปเรื่อยๆ ทีล่ะนิด ทีล่ะนิดและที่หัวเรือห่างออกไป ไม่เกิน 100 เมตร มี “โป๊ะดักจับปลา” ของชาวบ้าน ขวางอยู่ ในรัศมีพอดีเป๊ะ

กัปตันไก่ เข้าเกียร์ถอยหลัง แล้วผลักคันเร่งไปจนชนฝาครอบ แต่เรือก็ยังไหลตามน้ำไปเรื่อยๆ เพราะกำลังเครื่องยนต์สู้ความเชี่ยวของน้ำไม่ได้

ขณะเวลานั้น บังใจ กับ ยุทธ อยู่กราบซ้าย คุณบันเทิงอยู่กราบขวา ส่วนบังหมาน นั่งดูอยู่บนโต๊ะกินข้าวหลัง กัปตันไก่ ทุกคนเงียบกริบและกำลังจ้องเป็นตาเดียวไปที่ “โป๊ะจับปลา”นั่น ทีละนิด ทีละนิด

ผมยืนใจเต้นระทึกอยู่เยื้องๆ ด้านหลัง "กัปตันไก่" สังเกตสถานการณ์ตลอดเวลา และคิดอยู่ว่า ถ้าปล่อยให้เรือไหลตามน้ำไปเรื่อยๆแบบนี้โดยไม่ทำอะไรสักอย่าง อีกไม่กี่นาที ได้ชนโป๊ะจับปลานั่น วินาศสันตะโรแน่ๆและคงต้องเอวัง จบการเดินทางกันแค่สงขลานี่แหละ

ในภาพจะเห็นแนวโป๊ะทางขวามือ ภาพนี้ถ่ายตอนออกจากท่าสงขลา วันที่ 20 ก.ย.51
---------------------------------

อีกไม่เกิน 30 เมตร หัวเรือก็จะถึง “โป๊ะ” นั่น กัปตันไก่ ก็ใจเย็นเป็นบ้า หันไปถาม บังหมาน ด้วยน้ำเสียงปกติธรรมดา ที่นั่งอมยิ้มไม่ทุกข์ไม่ร้อนอยู่บนโต๊ะด้านหลังนั่นแหละ ว่า“พอจะทำให้เครื่องยนต์เพิ่มกำลังขึ้นได้อีกสักนิดมั๊ย”

"บังหมา..น." ไม่ตอบ แต่ลงจากโต๊ะ เดินมาเปิดฝาครอบสำหรับล็อคคันเร่ง แล้วผลักคันเร่งไปข้างหน้าจนสุด เสียงเครื่องยนต์ดังกระหึ่มเพิ่มขึ้นอีก เรือสะท้านไปทั้งลำและเริ่มขยับถอยหลังทีละนิด ทีละนิด จนกระทั่งได้ระยะห่างจาก “โป๊ะ”พอสมควร กัปตันไก่ จึงเดินหน้าตีวงเลี้ยวขวาแล่นทวนน้ำขึ้นไปได้
ผมถอนหายใจโล่งอก หันไปดูทางท้ายเรือ เห็นห่างจากโป๊ะ ไม่ถึง 30 เมตร เวรเอ้ย...ดูมันเล่นกัน.!

ไม่กี่นาทีต่อมา เรือก็เทียบกับร้านอาหารเรียบร้อย เมื่อท้องฟ้ามืดสนิทพอดี ไฟแสงจันทรบนท่าเรือเริ่มส่องสว่าง

บังหมาน ปิดฝาครอบ คันเร่งไว้เหมือนเดิม แล้วหันมาพูดกับ กัปตันไก่ ยิ้มๆ ว่า ล็อคนี้ไว้ใช้เมื่อจำเป็น ใช้วิ่งไม่ได้ เครื่องจะโอเวอร์โหลด และพังเอาง่ายๆ กัปตันไก่ พยักหน้าเข้าใจ ไม่มีอารมณ์อะไร

แล้วพูดยิ้มๆว่า “กูนึกแล้ว เห็นมึงนั่งยิ้มเฉย” แสดงว่าพวกนี้รู้ทันกัน จึงไม่มีใครตื่นเต้นกันเลย มีแต่ผมที่ตื่นเต้นอยู่คนเดียว เพราะไม่รู้ว่าเขาเล่นสนุกกัน

เฮ้อ..กูจะบ้า มาแค่นี้ยังเจอแบบนี้ กว่าจะถึงภูเก็ตยังไม่รู้ว่าพวกมันจะเล่นอะไรบ้าๆกันอีกสักเท่าไหร่..

พักใหญ่ หลังจากที่รอให้เครื่องยนต์ ลดอุณหภูมิความร้อนลง กัปตันไก่ ก็ดับเครื่องยนต์ บังใจเข้าครัว
คนอื่นต่างแยกย้ายกันไปทำภาระกิจของตัวเอง ตามหน้าที่ ส่วนผมตั้งใจลงไปอาบน้ำสักที

หลังจากนั้นไม่นาน ทุกคนก็พร้อมกันบนดาดฟ้าอีกครั้ง ตั้งวงเรียกน้ำย่อย ก่อนมื้อค่ำ ยกเว้น บังใจ กับ คุณ บันเทิง ไม่ยุ่งกับแอลกอฮอล์ สองคนนี้เป็น พุทธ แต่ได้เมียอิสลาม(เข้าแขก)ก็เลยเคร่งมาก
ส่วนบังหมาน ที่เป็นอิสลามแท้ๆ กินกับผมได้ทุกวัน สุดยอดแขกจริงๆ.

เป็นอันว่า คืนที่ 2 ของการเดินทางเรานอน สูดกลิ่นไอของจังหวัดสงขลากลางฝนพรำ โดยไม่ได้ขึ้นบกไปไหน รอดวงอาทิตย์วันรุ่งขึ้น เพื่อ “ลุยทะเลโหด”ต่อไป ซึ่งยังไม่รู้ว่าจะต้องพบกับอะไรอีก ตามระยะทาง ที่ยังยาวไกล

พบกันใหม่ตอนหน้า สวัสดี

ชำนาญ ณ.อันดามัน

-----------------------------------------------------------